“จงมองสิ่งที่มี มากกว่ามองสิ่งที่ขาด” ข้อคิดที่จะช่วยให้เรามีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น
หวาง เหม่ยเหลียน เป็นโรคสมองพิการแต่กำเนิดนอกจากมีปัญหาในการเคลื่อนไหวแล้ว เธอยังพูดไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ พากเพียรมุ่งมั่นจนเรียนจบปริญญาเอกสาขาศิลปศาสตร์ จาก UCLA มหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆ ของสหรัฐฯ
ที่ไต้หวันอันเป็นบ้านเกิด มีการจัดแสดงภาพเขียนของเธอบ่อยครั้ง ขณะเดียวกันเธอก็ได้รับเชิญให้ไปบรรยาย (ด้วยการเขียน) ตามสถานที่ต่างๆเป็นประจำ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนซึ่งมีภาษีดีกว่าเธอมากมาย คราวหนึ่งมีนักเรียนคนหนึ่งถามเธอหลังจากบรรยายเสร็จว่า”คุณอยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่เกิดคุณไม่รู้สึกน้อยใจหรือคุณมองตัวเองอย่างไร”
คำถามนี้สร้างความตกตะลึงแก่ที่ประชุม เพราะเป็นคำถามที่ตรงเกินไปและอาจกระทบจิตใจของเธอ แต่เธอกลับดูเป็นปกติ แล้วเขียนข้อความ “ฉันมองตัวเองอย่างไรหรือ” แล้วเธอก็บรรยายเป็นข้อๆว่า
1. ฉันน่ารักมาก
2. ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3. พ่อแม่รักฉันมาก
4. พระเจ้าประทานความรักแก่ฉัน
5. ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6. ฉันมีแมวที่น่ารัก
แล้วเธอก็สรุปด้วยข้อความว่า “ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ทันทีที่เธอเขียนประโยคสุดท้ายจบผู้คนก็ปรบมือดังสนั่นทั้งห้องประชุมด้วยความประทับใจอย่างมากในตัวเธอ
คนอย่างหวาง เหม่ยเหลียน น่าจะเป็นคนอมทุกข์ เพราะสูญเสียสมรรถนะ สำคัญหลายอย่างที่มนุษย์ปุถุชนพึงมี แต่เธอไม่มัวจมจ่อมเสียใจกับสิ่งที่ขาดไป หากหันมาชื่นชมใส่ใจกับสิ่งที่เธอมีพอเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้ เธอก็มีความสุขได้ไม่ยากใช่แต่เท่านั้น เธอยังนำสิ่งที่มีอยู่นั้นมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ จนประสบความสำเร็จอย่างที่คนธรรมดาจำนวนมากมิอาจทำได้มุมมองของสาวไต้หวันผู้นี้ ไม่ต่างจากมุมมองของคนพิการหลายคนที่สามารถทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จได้
สว่าง ทองดี นักปั่นจักรยานข้ามประเทศ เล่าว่า เขาประหลาดใจมากที่พบว่ามีคนแขนขาดหรือป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายหลายคนจากหลายชาติขี่จักรยานไปถึงเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแม้กระทั่งสำหรับคนที่มีอวัยวะครบ 32 หลังจากสนทนากับคนเหล่านั้น
เขาได้ข้อสรุปว่า
“ผมเรียนรู้จากคนเหล่านี้ว่า หากคิดจะก้าวไปข้างหน้าแล้ว จงอย่าคิดถึงสิ่งที่เราไม่มีหรือข้อด้อยของตัวเอง แต่ให้มองว่าเรามีสิ่งใดอยู่กับตัวบ้าง การจะทำฝันให้สำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับว่า เราใช้สิ่งที่เรามีอยู่ได้แค่ไหนต่างหาก”
ผู้คนเป็นอันมากท้อแท้กับชีวิต ยอมแพ้ต่ออุปสรรค เพราะมองเห็นแต่สิ่งที่ตนเองไม่มี เช่น เงินทอง พรรคพวก เส้นสาย หรือสถานภาพ แต่กลับมองข้ามสิ่งที่ตนเองมีอยู่ หรือไม่รู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ หลายคนมัวแต่ก่นด่าชะตากรรมว่าทำไมฉันถึงไม่มีเหมือนคนอื่นเขา คนเหล่านี้ไม่ต่างจากนักเล่นไพ่ที่เอาแต่บ่นว่าโชคไม่ดี ที่จั่วได้ไพ่แต้มต่ำๆ แทนที่จะคิดว่า ฉันจะเล่นไพ่ในมือให้ดีที่สุดได้อย่างไร
แม้มีมากเพียงใด แต่ตราบใดที่มองเห็นแต่สิ่งที่ตนขาด ก็จะไม่มีวันพบความสุขเลย เด็กจำนวนไม่น้อยเป็นทุกข์ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ทั้งๆ ที่มีอะไรต่ออะไรมากมายอยู่แล้ว ส่วนผู้ใหญ่ก็เป็นทุกข์ที่ไม่มีรถเบนซ์ขับหรือไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งๆ ที่มีชีวิตสะดวกสบาย มีการงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่อบอุ่น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงหญิงสาวที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ก็ยังทุกข์เพราะไม่มีผิวสวยงามหรือทรวดทรงที่กระชับ
หากมองเห็นแต่สิ่งที่มี ไม่มองสิ่งที่ขาดนอกจากจะไม่ทุกข์เพราะยังไม่มีนั่นนี่แล้ว เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปก็ไม่ทุกข์ง่ายๆ เพราะดีใจที่ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายหลายคนสูญเสียทรัพย์สมบัติมากมายจากอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 แต่เมื่อสำรวจรอบตัวก็พบว่า ยังมีข้าวของมากมายที่หลงเหลืออยู่ ที่สำคัญก็คือ ลูกและคนรักยังอยู่กันพร้อมหน้า จึงคลายทุกข์ไม่จมอยู่กับความอาลัย พร้อมมองไปข้างหน้าและก้าวเดินต่อไป
โสภณ ฉิมจินดา เป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือเด็กชนบทในถิ่นทุรกันดาร คราวหนึ่งชวนนักศึกษาไปช่วยกันบำเพ็ญประโยชน์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในแม่ฮ่องสอน ขากลับรถพลัดตกจากเขา ชั่วขณะนั้นเขาภาวนาขอให้นักศึกษาทุกคนปลอดภัย ปรากฏว่าทุกคนไม่ได้รับอันตราย ยกเว้นเขาซึ่งหลังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนพิการครึ่งตัว หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมีหลายคนพูดกับเขาว่า “นี่ขนาดไปทำบุญยังเกิดอุบัติเหตุ” ราวกับจะตัดพ้อว่า ทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี แต่เขาเองกลับไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย เขามองว่า “เพราะเราไปทำบุญ เราถึงเหลือตั้งเท่านี้”
แทนที่จะเสียใจเพราะพิการไปครึ่งตัวเขากลับมองว่า ตนเองโชคดีที่ร่างกายครึ่งหนึ่งยังเป็นปกติ ไม่ว่าจะสูญเสียกี่มากน้อย ประสบการณ์ของบุคคลเหล่านี้ย้ำเตือนเราว่า”พึงมองสิ่งที่มี อย่ามองสิ่งที่ขาด” แล้วเราจะมีพลังในการดำเนินชีวิตอย่างผาสุก