เรากำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคตัวกูของกู” ที่คิดถึงประโยชน์สุขส่วนตนอย่างเต็มที่
1. อยากรวยเร็ว รวยทางลัด จะเห็นได้ว่า หนังสือติดอันดับ Best seller ขายดิบขายดีในยุคนี้ จะเป็นหนังสือ เกี่ยวกับเคล็ดลับการสร้างความมั่งคั่ง และแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ แม้แต่ในงาน Money Expo ครั้งล่าสุด ผู้เข้าร่วมงานก็มีอายุน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คนไทยยุคนี้ ยังเปลี่ยนความ สนใจจากการลงทุนในธุรกิจ และอยากเป็นเจ้าของกิจการ หันมาศึกษา ลงทุนในตลาดหุ้นแทน เพราะเห็นตัวอย่าง ของนักเล่นหุ้นรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยๆ
กระนั้น ความรวยที่คนรุ่นใหม่ใฝ่หา เป็นความรวยแบบฉาบฉวยชั่วข้ามคืน ต้องการรวยแบบด่วนๆ แต่ไม่ได้ฝันถึง ขนาดมีเงินพันล้าน แค่อยากมีกินมีใช้และท่องเที่ยวลั้ลลา
แนวโน้มที่ตามมาก็คือ ตลาดแรงงานจะเปลี่ยนโฉมหน้าอย่างสิ้นเชิง ในอีก 6 ปีข้างหน้า จะหาคนทำงานเป็นพนักงานประจำได้ยากขึ้น เพราะคนยุคใหม่นิยมทำ งานอิสระ (Free lance) และล่วงเวลา (Pass time) มากกว่า ค่านิยมที่ตอกย้ำความฉาบฉวยของสังคมไทยคือ
2. งามภายนอกบกพร่องภายใน สมัยนี้ไม่เห็นคุณค่าความงามภายใน แต่ให้ความสำคัญกับความงามภายนอก ซึ่งมีผลต่อความก้าวหน้าด้านอาชีพการงาน และการเป็นที่ยอมรับของสังคม แนวโน้มนี้ทำให้ธุรกิจเสริมความงามต่างๆ เติบโตคึกคัก เช่นเดียวกับ Application เสริมแต่งรูปภาพบน smart phone ที่กลายเป็นอุปกรณ์ขาดไม่ได้ของคนยุค Social Network ก็เพราะถือคติตัวกูของกู
3. แยกตัวเองออก? ไม่เข้าสังคม ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมาย ที่ช่วยให้สามารถทำกิจกรรมหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นไม้ถ่ายรูป selfie, App แผนที่ค้นหาเส้นทางท่องเที่ยว หรือแม้แต่ google ที่มีคำตอบทุกอย่าง รวมไว้ที่เดียว เมื่อไม่ต้องพึ่งพิงใครมาก เด็กรุ่นใหม่ จึงมีความแข็งกระด้าง ไม่ยอมโอนอ่อนให้ใครง่ายๆ เมื่อก่อนมีอะไร เด็กอาจปรึกษาพ่อแม่ แต่ทุกวันนี้ยกให้ “อากู๋” เป็นที่หนึ่งในดวงใจ
4. ไม่ผูกมัด คนสมัยนี้แต่งงานกันน้อยลง แต่อัตราหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้น เพราะมีค่านิยม ผู้คนมีทางเลือกหลากหลายมากขึ้น จึงชอบอะไรที่มาเร็วเคลมเร็ว แม้แต่ในเชิงการตลาด ผู้บริโภคยุคใหม่ก็ไม่ชอบการผูกมัดระยะยาวและเบื่อง่าย เพราะมองหา แต่ข้อมูลใหม่ๆตลอดเวลา อะไรที่นำเสนอเนื้อหายืดยาดเยิ่นเย้อไม่กระชับ โดยเฉพาะทีวีดิจิตอล ก็เตรียมม้วนเสื่อกลับบ้านได้เลย
5. เห็นแก่ตัวสูง นอกจากจะแข่งเรื่องฐานะกันแล้ว ยังแข่งกันสวมหัวโขน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาแต่พวกพ้องตัวเอง ไม่เห็นแก่ส่วนรวม จึงทำให้ทุกคนต่างกอบโกยเข้าแต่ตัวเอง ทำให้บ้านเมืองล้าหลังลงไปเรื่อยๆ เพราะ ไม่มีใครยอมเสียสละ