เราทุกคนต่างยอมรับกันว่า “ความเจ็บป่วย” เป็นเรื่องธรรมดาของงชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายเกิดการป่วยไข้ขึ้นมาครั้งใด จิตใจก็พาลอ่อนแอตามไปด้วย นั่นเป็นเพราะร่างกายและจิตใจเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างแยกกันไม่ออกนั่นเองค่ะ ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าร่างกายของเราจะไม่ค่อยแข็งแรงแต่เรามีจิตใจที่เข้มแข็ง ก็สามารถบรรเทาความรุนแรงของโรคลงได้ เนื่องจากเมื่อร่างกายคิดบวกสมองก็จะหลั่งสารเคมีหรือฮอร์โมนชนิดดีออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ถือเป็นดั่งยาวิเศษที่ช่วยบำรุงร่างกายให้ฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยได้ไวขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น การมีจิตใจที่ผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียดระหว่างที่เราป่วยจึงเป็นหนึ่งในกลเม็ดเคล็ดลับที่ช่วยเยียวยาโรคภัยให้ทุเลาลงได้ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น วันนี้เราได้รวบรวมเอามาฝากทุกคนกันแล้ว ไปดูกันว่ามีวิธีใดบ้างที่จะเอาชนะอาการป่วยที่เกิดกับร่างกายของเรา อ่านไว้เผื่อเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ไปดูกันค่ะ
>> ใช้วิธีปฏิบัติธรรมบำบัดโรค <<
ที่หลายคนเคยได้ยินประโยคที่ว่า “กายเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั้น ที่จริงแล้วคำนี้นั้นมีความหมายลึกซึ้งนะคะ เป็นสิ่งที่ทำให้คนเรารู้ว่าร่างกายและจิตใจนั้นเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว หากร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ย่อมป่วยตาม ในทางเดียวกันหากจิตใจสงบและคิดดี ก็สามารถฉุดดึงอาการป่วยที่ดูว่าหนักเกินเยียวยาให้กลับมาดีขึ้นได้เช่นกัน เมื่อเจ็บป่วยเรามักจะได้ยินคนบอกว่าให้หันหน้าเข้าหาธรรมะหรือปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานใดรับรองผลของการปฏิบัติธรรมว่าสามารถเยียวยาอาการป่วยได้ แต่ประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ปฏิบัติธรรมจนอาการทุเลา ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการทำสมาธิสามารถบรรเทาโรคได้ เพราะเมื่อจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน จดจ่ออยู่กับอาการป่วยจนเกิดความเครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา
หลายคนคิดว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ทำยาก หรือต้องหันหน้าเข้าวัดเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ความเป็นจริงทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมได้ด้วยวิธีแสนง่าย โดยแค่กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติ เช่น ขณะนั่งทำงานอยู่หากเรารู้สึกตัวให้หายใจเข้าลึกๆ และผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ประมาณ 10 ครั้ง ทำเช่นนี้ทุกครั้งที่รู้สึกตัวจะช่วยให้มีสติรู้ตัวมากขึ้น แม้กระทั่งขณะเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เวลาเดินเราก็สามารถฝึกสติได้ด้วยการรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่น หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
>> เข้ากลุ่มบำบัด <<
การเข้ากลุ่มผู้ป่วยหรือคนที่มีปัญหาสุขภาพคล้ายๆ กัน สามารถช่วยเยียวยาความเครียดจากความเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดีอีกวิธีหนึ่งเลยค่ะ เพราะการได้พูดคุยกับเพื่อนหรือคนที่ประสบปัญหาเดียวกันจะทำให้ได้ผ่อนคลายความเครียดและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวว้าเหว่ ไม่คิดโทษตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย เนื่องจากได้รับรู้ปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ก่อให้เกิดความรู้สึกในด้านบวก และความรู้สึกช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกันและกัน
นอกจากนี้การได้พูดคุยกับคนที่มีปัญหาคล้ายคลึงกันยังทำให้เกิดการร่วมมือร่วมใจ เกิดความเอื้อเฟื้อ และรู้ทางออกของปัญหาจากผู้ที่เคยประสบปัญหามาก่อน สังเกตได้จากเมื่อเรามีปัญหาหรือป่วยจากโรคที่ไม่เคยเป็น เรามักต้องการคำแนะนำ ความเข้าใจจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ลองหากลุ่มที่คิดว่าเหมาะสมกับอาการป่วยของตัวเองมาสักหนึ่งกลุ่ม แล้วลองร่วมทำกิจกรรมดูค่ะ
>> จินตนาการถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุข <<
การจินตนาการไม่ใช่เรื่องที่ไร้สาระหรือเป็นไปไม่ได้นะคะ เพราะมีผลวิจัยยืนยันออกมาแล้วว่าจินตนาการสามารถลดความเครียด ปรับสมดุลร่างกาย สมดุลจิตใจ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ นอกจากนี้จินตนาการยังเป็นกระบวนการทางสมองที่ทำงานซับซ้อนไปไม่ต่างจากการคิดวิเคราะห์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีผลต่อร่างกายและการดำเนินชีวิต ผลต่อร่างกายก็คือ หากเราจินตนาการถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ทำให้มีความสุข หรือสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น สมองจะหลั่งฮอร์โมนคลายเครียด อุณหภูมิในร่างกายจะลดลง อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ชีพจรเต้นช้าลง
ส่วนผลทางจิตใจนั้นช่วยให้มีความมั่นใจในตนเองว่าสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ เคยอ่านเจอคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า หากต้องการให้เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้หรือเหตุการณ์ที่เราต้องใช้ความพยายามในการบรรลุผลเกิดขึ้นจริง ต้องคิดจินตนาการถึงกระบวนการที่เราจะพบในเรื่องนั้นๆ อย่างละเอียด โดยต้องคิดว่าเราทำได้อย่างง่ายดาย และสามารถประสบผลสำเร็จในที่สุด ดังนั้น การจินตนาการถึงสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นจึงเป็นการบำบัดร่างกายและความเครียดได้อีกหนึ่งทาง ซึ่งเราสามารถทำได้ทุกวันอีกด้วยค่ะ
>> สวดมนต์บำบัดโรค <<
สังเกตมั้ยคะว่า คนไทยเราเนี่ยเมื่อมีคนที่เรารักเกิดอาการป่วย เรามักจะแนะนำให้เค้าเหล่านั้นสวดมนต์ ซึ่งคำแนะนำนี้ถือเป็นภูมิปัญญาด้านการเยียวยารักษาโรคที่ได้ผลไม่แพ้การดูแลสุขภาพด้านอื่นเลยล่ะค่ะ เพราะมีผลการวิจัยระบุออกมาแล้วว่าการสวดมนต์ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้จริง เนื่องจากสมองของคนเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงที่สม่ำเสมอกันนาน 15 นาทีขึ้นไป ฮอร์โมนชนิดดีจะหลั่งออกมา ฮอร์โมนเหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมองทั้งสิ้น เพราะช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับง่าย ภูมิต้านทานดีขึ้น และช่วยยืดอายุเซลล์ให้ดีขึ้นอีกด้วย
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การสวดมนต์หากจะให้เกิดผลดียิ่งขึ้นต้องสวดแบบออกเสียงให้ตัวเองได้ยินด้วยยิ่งดี เพราะการออกเสียงจะทำให้เราได้ยินเสียงสวดมนต์ที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ นอกจากจะส่งผลดีต่อสมองแล้วยังทำให้เกิดความสงบและสมาธิอีกด้วย การสวดมนต์นอกจากจะสวดให้ตัวเองสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังสามารถฟังผู้อื่นสวดก็ได้ เพราะเสียงสวดมนต์ของพระหรือนักบวชที่มีความเมตตาจะทำให้ผู้ฟังเกิดความสุขและผ่อนคลาย รวมทั้งสามารถสวดมนต์ให้กับผู้ป่วยอยู่ก็ได้ เพราะการสวดมนต์จะส่งผลให้สมองเกิดคลื่นสมองที่ดี ซึ่งจะสามารถส่งไปถึงผู้ที่รับได้ แม้จะอยู่ไกลกันแค่ไหนก็ตาม รู้แบบนี้แล้วลองปลีกตัวออกจากความวุ่นวาย และหาเวลามาสวดมนต์ทุกวันดูค่ะ รับรองว่าผลดีจะเกิดขึ้นกับร่างกายแน่นอน
>> ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต <<
มีใครรู้บ้างคะว่าวิถีชีวิต หรือการดำเนินชีวิตของเราเป็นตัวกำหนดสุขภาพของเราเอง เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคก็คือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การทำงาน และการออกกำลังกาย หากเราจัดสมดุลชีวิตให้ดี ร่างกายจะไม่เจ็บป่วย ไม่เคร่งเครียด แต่เมื่อใดก็ตามที่สมดุลชีวิตผิดไป ร่างกายย่อมเจ็บป่วยจนเกิดความเครียดตามมาค่ะ ซึ่งสมดุลชีวิตที่ว่าก็คือ การจัดเวลาและแบ่งความสำคัญให้กับกิจกรรมในชีวิตเท่าๆ กัน เพราะยุคนี้คนส่วนใหญ่มักทุ่มความสำคัญให้กับการทำงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแบบนั้นถือว่าผิดค่ะ
นอกจากการจัดสมดุลให้ชีวิตแล้ว การทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตให้มีคุณภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น การกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ของทอด ของมัน นอนหลับไม่เป็นเวลา ออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อย่างต่ำครั้งละ 30 นาที การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตลักษณะนี้จะทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้ในที่สุด และการปรับสมดุลชีวิตดังกล่าวไม่เพียงช่วยส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังบำบัดความเครียดได้ด้วย เพราะสมดุลชีวิตดังกล่าวช่วยให้ชีวิตไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป จึงไม่เกิดความทุกข์หรือความรำคาญใจ
>> เดินเล่นในสวนสาธารณะ <<
หญ้าสีเขียว อากาศบริสุทธิ์ ผู้คนแวดล้อมที่ยิ้มแย้ม เราสามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ที่ “สวนสาธารณะ” ค่ะ การเดินเล่นในสวนสาธารณะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรเดินรอบสวนสาธารณะด้วยความเร็วสม่ำเสมอ สูดลมหายใจยาวๆ และผ่อนลมหายใจออก การทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการเดินเพื่อสุขภาพ และให้ผลต่ออารมณ์เช่นเดียวกับการเดินจงกรมเลยล่ะค่ะ
การเดินในสวนสาธารณะยังส่งผลต่ออารมณ์อีกหลายด้าน เช่น ช่วยให้จิตใจสงบ เพราะสีเขียวของต้นไม้ สนามหญ้า ช่วยให้รู้สึกเย็นสบาย และผ่อนคลาย อีกทั้งการได้เห็นผู้คนที่ออกกำลังกายยิ้มแย้มแจ่มใส ยังเป็นการกระตุ้นให้เราอยากลุกขึ้นมาออกกำลังกายด้วย แถมการเดินยังช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง โดยผลการวิจัยระบุว่าคนที่เดินเป็นประจำทุกวันเป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร สมองจะเสื่อมช้ากว่าคนปกติทั่วไป 17% และช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น เห็นหรือยังคะว่าการเดินมีประโยชน์มากมายขนาดไหน รู้แบบนี้ต้องลุกขึ้นแล้วไปเดินที่สวนสาธารณะแล้วล่ะค่ะ
>> ใช้แสงแดดอ่อนๆ อัพพลังให้ชีวิต <<
อารมณ์ของคนเราสอดคล้องกับแสงแดดอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ ที่พูดเช่นนี้เพราะแสงแดดมีส่วนสำคัญต่อสมองและการหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของคนเรา สังเกตหรือไม่คะว่าคนต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองหนาวที่ไม่ค่อยมีแสงแดดคนที่นั่นจะเป็นโรคซึมเศร้า และป่วยกันง่ายมาก เนื่องจากไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอน สาเหตุจากสมองของคนเราจำเป็นที่จะต้องหลั่งฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ที่ช่วยป้องกันอาการซึมเศร้านั่นเอง
ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมอารมณ์จะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับแสงแดด เพราะถ้าเราอยู่ในที่อับแสง หรือมืดทึบ เราจะรู้สึกง่วงเหงา หาวนอน หดหู่ หมองเศร้า ดังนั้นการออกไปรับแสงแดดอ่อนยามเช้าจึงช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ไม่เครียด นอกจากนี้ในแสงแดดยังมีวิตามินดีจากธรรมชาติที่ป้องกันโรคกระดูกพรุนและไขข้อด้วยค่ะ รู้แบบนี้ ไปค่ะ ตื่นเช้าไปรับแสงแดด อีกหนึ่งวิธีที่จะหนีความเครียดที่สามารถทำได้ทุกวันกันเถอะ
ทั้งหมดที่เราเอามาฝากกันวันนี้เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่างที่ช่วยบรรเทาผู้ที่มีความเครียดจากการใช้ชีวิตเมื่อรู้สึกป่วยไข้ หรือเครียดจากการใช้ชีวิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์จากความตึงเครียดที่ต้องพบเจอ แต่อย่างไรก็ดีการกำจัดความเครียดที่ได้ผลดีมากที่สุด คือการทำความเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ และแก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ค่ะ หากทำตามได้ตามนี้เท่ากับว่าคุณได้สร้างเกาะความเครียดให้ตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว สู้ๆ นะคะ ทุกคน!