วิธีเล่นหุ้นสไตล์มนุษย์เงินเดือน แม้ไม่มีเวลานั่งเฝ้าพอร์ตหุ้นทั้งวัน ก็ประสบความสำเร็จกับการลงทุนได้
ทุกวันนี้มนุษย์เงินเดือนหันมาสนใจออมเงินด้วยการลงทุนกันเยอะขึ้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนสนใจ แต่คนส่วนใหญ่มักติดปัญหาเรื่องเวลา เพราะไหนจะงานประจำที่ต้องยุ่งทั้งวันแล้ว จะให้เหลือเวลาไหนมานั่งเฝ้าดูราคาหุ้นได้ตลอดทั้งวันอีก
เรื่องนี้ความจริงแล้วการเล่นหุ้นไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาก็ได้ หากเราเลือกแนวทางการลงทุนที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเอง วันนี้เรามีเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับคนที่อยากเล่นหุ้น แต่ไม่ค่อยมีเวลา มาฝากกัน
1. ซื้อหุ้นแบบ DCA
การเล่นหุ้นแบบ DCA (Dollar-Cost- Averaging) โดยซื้อหุ้นถัวเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ในจำนวนเงินที่เท่าๆ กันทุกงวด โดยไม่ต้องสนใจราคาในตอนนั้น เช่น หักทุก 10% ของเงินเดือนลงทุนในหุ้นไปเลยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคาหุ้น เพราะมีการเฉลี่ยราคาจากการซื้อทุกเดือนอยู่แล้ว
วิธีนี้จึงเหมาะกับมือใหม่และคนที่ต้องการออมหุ้นระยะยาว ที่สำคัญยังเป็นการฝึกวินัยในการลงทุนด้วย ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับการที่เราออมเงินด้วยการหยอดกระปุกเป็นประจำก็ว่าได้
2. ลงทุนแบบเน้นคุณค่า
การที่จะซื้อหุ้นแบบ DCA ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือเราเลือกหุ้นพื้นฐานดีให้ได้ก่อน หรือที่มักเรียกกันว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวกับหุ้นดีในราคาที่เหมาะสม ทำให้ไม่ต้องคอยพะวงกับราคาที่อาจผันผวนรวดเร็ว
หลักการเบื้องต้นในการดูหุ้นพื้นฐานดี ควรเป็นบริษัทที่ไม่แกว่งตามภาวะตลาดมากจนเกินไป เป็นธุรกิจที่เติบโตมั่นคงต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาขาดทุน หนี้สินไม่เยอะ และสภาพคล่องดี ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราสามารถวิเคราะห์ได้จากประวัติผลการดำเนินงานย้อนหลังของบริษัทนั้นๆ
หรือหากใครไม่รู้ว่าจะเริ่มศึกษาจากหุ้นตัวไหนดี ก็สามารถเริ่มต้นจากหุ้นในกลุ่มดัชนี SET50 หรือ SET100 ก็ได้ เพราะเป็นการคัดกรองคร่าวๆ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วว่าเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ที่สภาพคล่องสูง
3. มองหาหุ้นปันผล
ถ้าอยากได้ผลตอบแทนทุกๆ ปี โดยไม่ต้องมาคอยเก็งกำไรส่วนต่างราคา หุ้นปันผลสามารถตอบโจทย์นี้ได้ เหมาะกับคนที่อยากลงทุนแบบสบายๆ ความเสี่ยงต่ำ และรับเงินปันผลสม่ำเสมอ
หุ้นปันผลส่วนใหญ่มักเป็นบริษัทที่เติบโตมาระยะหนึ่งแล้ว จึงทำให้มีความมั่นคง แต่อาจจะไม่ได้หวือหวามากนัก โดยวิธีหาหุ้นปันผลควรพิจารณาจากบริษัทที่จ่ายเงินปันผลให้นักลงทุนสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกปี มีนโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 30 – 50% และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มากกว่า 5% ต่อปี
ที่สำคัญต้องดูด้วยว่าเงินปันผลที่จ่ายให้นักลงทุนนั้น มาจากกำไรดำเนินงานของบริษัทจริงหรือเปล่า ไม่ใช่มาจากกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง หรือเป็นการกู้เงินมาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น
4. เลือกหุ้นในกลุ่มที่ตัวเองสนใจ
การซื้อหุ้นก็เหมือนกับการที่เราเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ แน่นอนว่าหากเลือกลงทุนในกิจการที่ตัวเองมีความสนใจ หรือเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ก็ย่อมง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานธุรกิจ
นอกจากนี้ หากเราอยู่ในสายงานที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วด้วย ก็ยิ่งได้เปรียบในการคาดการณ์ภาวะตลาดของอุตสาหกรรม ซึ่งในตลาดหุ้นก็มีกลุ่มอุตสาหกรรมให้เลือกหลากหลายมากมาย ลองเลือกสักกลุ่มก็ได้ที่เข้ากับความถนัดของเรา
5. อย่าซื้อหุ้นในพอร์ตหลายตัวเกินไป
หลายคนชอบที่จะไล่เก็บหุ้นหลายๆ ตัวไว้ในพอร์ต ซึ่งก็มีข้อดีในการช่วยกระจายความเสี่ยง แต่หากเรามีหุ้นมากจนเกินไป รับรองว่ามีปัญหาตามมาแน่ เพราะเราจะไม่มีเวลาติดตามข้อมูลได้ครบถ้วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีของการลงทุนในตลาดหุ้น และสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน แนะนำว่าไม่ควรมีหุ้นในพอร์ตมากกว่า 5 ตัว
6. เลี่ยงหุ้นซิ่ง หุ้นเก็งกำไร
ถ้ารู้ตัวว่าไม่ค่อยมีเวลา เลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่ากับ “หุ้นซิ่ง” โดยหวังเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลงแบบรวดเร็ว เพราะไม่อย่างนั้น คุณจะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะ “ตกรถ” “ขายหมู” “ติดดอย” เพียงแค่เสี้ยววินาทีแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
7. ใช้แอปพลิเคชันเป็นตัวช่วย
สมัยนี้การเล่นหุ้นมีตัวช่วยเยอะมาก โดยเฉพาะเหล่าแอปพลิเคชันช่วยเทรดต่างๆ ที่ตั้งเวลาซื้อ-ขายแบบอัตโนมัติ เลือกได้เลยว่าจะให้ซื้อที่ราคาเท่าไหร่ หรือขายที่จุดไหน โดยไม่ตกกลัวว่าจะตกรถ หรือพลาดอะไรสำคัญๆ ไป เรียกว่าออกแบบมาให้นักลงทุนสายเทคนิคที่ทำงานประจำ สามารถเอาเวลาไปทำงานได้แบบสบายใจ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางคร่าวๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองได้เลย เพราะเมื่อรู้สไตล์การลงทุนที่เหมาะสม โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก