โรคเบาหวานถือเป็นอีก 1 โรคที่คนชอบเป็นกันส่วนหนึ่งได้รับการถ่ายทอกมาทางพันธุกรรม แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เสี่ยงเป็นโรคนี้ได้เหมือนกัน คือคนที่อ้วนเกินไปมีน้ำหนักเกิน ไม่ออกกำลังกาย หรือจะเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง
แน่นอนเมื่อเป็นโรคนี้ เราต้องควบคุมตัวเองหลายๆเรื่อง และเรื่องที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือการทานอาหารนั้นเองค่ะ เพราะถ้าหากเผลอรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงเข้าไปก็ยิ่งจะส่งผลร้ายกับโรคเบาหวานที่เป็นอยู่
ซึ่งก็มีผู้ป่วยเบาหวานจำนวนไม่น้อยที่หลีกเลี่ยงการรับประทานแป้ง กับน้ำตาล และหันมารับประทานผลไม้ให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีน้ำตาลไม่สูง แต่นั่นก็ไม่ถูกต้องเสียทั้งหมดค่ะ เพราะจริงๆ แล้วผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูงจนควรหลีกเลี่ยงเลยเชียวล่ะ แต่ว่าจะมีผลไม้ชนิดไหนบ้างที่ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรรับประทาน หรือรับประทานได้แต่ควรจำกัดปริมาณ เราตามไปดูกันเลย
ผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรรับประทาน
ผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรรับประทานก็คือผลไม้ในกลุ่มที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่
– ทุเรียน
– ขนุน
– น้อยหน่า
– มะขามหวาน
– ละมุด
– มะม่วงสุก
– ลำไย
ผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานได้ และควรรับประทาน
ผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานได้ คือผลไม้ในกลุ่มที่มีรสชาติไม่หวานมากและมีไฟเบอร์สูง เพราะไฟเบอร์ที่ได้จากผลไม้จะไปช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลของร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูง อีกทั้งบรรดาไฟเบอร์ในผลไม้เหล่านี้ยังช่วยให้อิ่มไวอีกด้วย
1. แก้วมังกร
เพราะแก้วมังกรก็เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีไฟเบอร์สูง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ นอกจากนี้งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรียังพบด้วยว่า เมือกของแก้วมังกรมีคุณสมบัติในการดูดซึมน้ำตาลที่อยู่ในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยนะคะ เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตราย
2. มะเฟือง
มะเฟืองมีไฟเบอร์สูง และมีค่าดัชนีน้ำตาลไม่สูงมากนัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ทั้งนี้ก็ควรรับประทานแต่พอดี เพราะรับประทานมากไปอาจส่งผลกระทบไปถึงไต
3. แอปเปิล
แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงมาก อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่รสชาติไม่หวานจนเกินไป แถมคุณประโยชน์ในแอปเปิลก็ยังมีมากมาย ไม่ว่าจะช่วยในการลดน้ำหนัก เสริมสร้างสุขภาพหัวใจ ขณะที่ไฟเบอร์ในแอปเปิลก็ยังช่วยชะลอการดูดซึมของน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : หมอชาวบ้าน , สสส. , คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , kapook