13 ความคิดแย่ๆ ที่ต้องรีบสลัดออกจากใจ
บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง
Don”t Sweat the Small Stuff
แต่งโดย Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
จนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต
ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น
ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้
1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง
เศร้าสลดหดหู่ ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใดๆ
เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก
หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม
วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบายๆ ปล่อยวาง
เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อน
ปัญหาที่ รุ น แ ร ง และเรื้อรัง ยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที
ก็ให้ค่อยๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ
เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม
ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา
จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา
คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น
แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ
และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้าย
อย่างที่เราคิดไว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจ
ที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
2. หงุดหงิดรำคาญใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาซะเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ
ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่นเอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
นิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด
สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้รู้จักปล่อยวาง เ สี ย บ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง
ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลางๆ พอดีๆ
ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไป เ สี ย ทุกอย่าง
พูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบายๆ
ไม่ต้องเอาเป็นเอา ต า ย เอาจริงเอาจังไป เ สี ย ทุกเรื่อง
3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
คนที่รีบเร่งทำงานหลายๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง
งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น
เพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง
กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวัง
ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่
เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญ เ สี ย ไปกับการทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิ
ก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้น
เพื่อชดเชยความผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด
วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต
ถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้
จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น
และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้ง เ สี ย เช่น
การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
เพราะสิ่งต่างๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน
ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่างๆ อีกมากมาย
ทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ
ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป
โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง
นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที
เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้อง ต า ย
ในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริต
เพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)
4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่
และคิด อ า ฆ า ต แ ค้ น พ ย า บ า ท คนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking)
ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคน
ย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว
การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง
วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ
ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที
ให้หันมาคิดในแง่บวกแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติ
จะต้องสร้างขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา
พร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา
ความ อ า ฆ า ต พ ย า บ า ท ความมีอัตตาตัวตน
และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด
หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้
เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง
รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น
พยายามประคับประคองความคิดที่ดี
ให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ
ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ
วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่า
ทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้น
และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา
เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา
ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น
รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ ไม่ต้องหาเหตุหาผล
ไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่า
ในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ เพื่อหยุดความคิด
ซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู
6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่า
สิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ
และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์
และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวาง เ สี ย บ้าง
หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา
พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ
เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย
จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน
วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้
ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือ
ไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ
คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลย ไม่ต้องจำกัดว่าช่วย
เพราะเป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น
ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน
8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสน
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน
วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ
เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เรา
เ จ็ บ ช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน
แต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจ
เราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง
และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวก
เช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงาน
ให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลัง
สอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมด
จึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น
9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน
รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง
หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น
การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้ว
ยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้าไปไหน
เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิมๆ
วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
ระลึกและจดจำในสิ่งดีๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์
และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน
เรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต
ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจ
ให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
10. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย
และคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว การคิดเช่นนี้
จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็กๆ
ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ
หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้ คิดถึงประสบการณ์ดีๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
เช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้น
พยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง
11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด
แก้เท่าไรก็ไม่หมดสักที การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว
รังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเอง เ สี ย อีก
วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน
ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญา
ที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่า
มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า
ก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้
ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป
มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ
อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่า
จะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา
12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมา
เต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหัง อวดดี ถือตัว
มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรง
และสามหาวบุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้
และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง
เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น อยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความ เ จ็ บ ช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น
ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น
ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ
ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่ง เ สี ย จะดีกว่า
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใคร
ชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง