โบท็อกซ์ คืออะไร
โบท็อกซ์ คือ โปรตีนที่สกัดมาจากพิษของแบคทีเรีย ชื่อ Clostridium botulinum ซึ่งมีผลลดการทำงานของสารสื่อประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ในทางการแพทย์เราจะเลือกใช้ในระดับปริมาณที่เหมาะสม เพื่อนำใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ โดยโบท็อกซ์จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น การรักษาโรคทางระบบประสาทที่เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อมากเกินไป
นอกจากนี้ยังใช้ในการเสริมสวยด้วย เช่น การฉีดเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า เช่น รอยตีนกา ร่องแก้ม ร่องหน้าผาก ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อแสดงสีหน้า เช่น อาการยิ้มตาหยี หัวเราะ ขมวดคิ้ว เป็นต้น
โดยการฉีดโบท็อกซ์ที่เป็นที่นิยมมากในหมู่สาวๆ คือการฉีดลดการทำงานของกล้ามเนื้อบดเคี้ยวที่กรามที่เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อกรามหนักทำให้กรอบหน้ากว้างเด่นชัด เมื่อทำการฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่พอดีจะทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลง ใบหน้าเป็นรูปทรงไข่ หรือที่เรียกว่า วีเชฟ (V-Shape) นอกจากนี้ยังใช้ในผู้ป่วยที่ต้องการปรับรูปกรามเพื่อแก้รักษาโครงหน้าไม่เท่ากันด้วย
ดัดฟัน VS โบท็อกซ์
นอกจากการฉีดโบท็อกซ์แล้วยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยให้รูปหน้าดูเล็กลง เช่น การดัดฟัน เรามักได้ยินดารานักแสดงพูดบ่อยๆ ว่า ไม่ได้ผ่าตัดแค่ดัดฟันก็สวยได้ ซึ่งความจริงแล้ว การจัดฟัน ดัดฟัน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้กระดูกโครงหน้าถูกดึง ทำให้ใบหน้าเล็กลงได้จริง แต่เห็นผลช้าและอาจมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าที่ต้องการ
การศัลยกรรม ที่จะช่วยให้ใบหน้าคงรูปสวยอย่างถาวร แต่มีข้อเสียคือต้องพักฟื้นนาน เจ็บปวดจากอาการบวมช้ำ และอาจมีผลค้างเคียงเยอะหากดูแลหลังการผ่าตัดไม่ดีพอ เช่น ติดเชื้อเนื่องจากความสกปรก และหากผ่าตัดแล้วไม่พอใจก็ยากที่จะแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมด้วย
นอกจากการผ่าตัดแล้ว การร้อยไหม ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้หน้าดูเรียวเล็กลง แต่วิธีนี้ก็เจ็บปวดและเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อันตรายเช่นกัน เช่น การติดเชื้อ ผิวไม่สม่ำเสมอ มีรอยนูนบริเวณร้อยไหม มีรอยเขียวช้ำ และไม่ได้ผลถาวรด้วย
อีกหนึ่งวิธีที่กำลังเป็นนิยมไม่ต่างจากการฉีดโบท็อกซ์ คือ การทำ HIFU เป็นวิธีที่เจ็บตัวน้อย ซึ่งค่อนข้างอยู่ได้นาน 8 ? 12 เดือน แต่เห็นผลช้ากว่าการฉีดโบท็อกซ์ จึงทำให้การฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีที่นิยมอันดับหนึ่ง เพราะราคาถูกเมื่อเที่ยบกับวิธีการอื่นๆ ผลข้างเคียงน้อย ไม่เจ็บตัว ไม่อันตราย ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น และผลลัพธ์ดี เห็นผลจริง แม้จะมีระยะเวลาออกฤทธิ์สั้นๆ 4 ? 6 เดือน แต่สามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ ไม่อันตราย
ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อกซ์
หากเลือกใช้ตัวยาโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีปัญหาเรื่องการดื้อยาในอนาคตทำให้การฉีดครั้งต่อไปไม่ได้ผล นอกจากนี้ควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสมโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เพราะการฉีดในปริมาณที่มากเกินไปหรือบ่อยเกินไป นอกจากจะดื้อยาแล้ว ยังมีผลเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อบดเคี้ยว ทำให้เกิดปัญหาขากรรไกรค้างได้ด้วย
อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หลายๆ คนจะมีความกังวลว่า ฉีดแล้วจะทำให้ใบหน้าไม่เท่ากัน แสดงสีหน้าไม่ได้ หน้าตึงเกินไป ซึ่งหากเราเลือกใช้ตัวยาที่มีคุณภาพ และฉีดกับแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง เลือกสถานบริการที่น่าเชือถือ ปลอดภัย จะช่วยลดความกังวลเหล่านั้นได้ หรือหากฉีดแล้วมีปัญหาเรื่องตึงมากไป การประคบอุ่นจะช่วยให้การทำงานของโบท็อกซ์ลดลง อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเวลาผ่านไป โบท็อกซ์เป็นยาที่สลายได้โดยธรรมชาติ หากไม่พอใจก็สามารถรอให้ฤทธิ์ยาหายไปได้เอง
โบท็อกซ์ใครก็ฉีดได้?
ฉีดโบท็อกซ์สามารถฉีดได้ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ยกเว้น ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ เป็นสิว เป็นผดผื่นบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์ หรือผู้ที่ที่กินยาละลายลิ่มเลือด หรือ มีปัญหาเลือดออกง่ายหยุดยาก ไม่แนะนำให้ฉีดทุกกรณี
ในกรณีที่จัดฟันอยู่ แนะนำให้จัดฟันให้เข้าที่ก่อน เพราะการฉีดโบท็อกซ์ทำให้กล้ามเนื้อลด แก้มจะตอบขึ้นทำให้ผู้ป่วยรำคาญเครื่องมือจัดฟัน และอาจกดแนวการเคลื่อนของฟันที่วางแผนไว้ แต่ถ้าผู้ป่วยมีความต้องการที่จะหน้าเรียวเล็กไวๆ เพราะการรอจัดฟันเสร็จอาจหน้าวีเชฟไม่ทันใจ แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเพื่อปรับแรงในการดึงฟัน
คำแนะนำหลังฉีดโบท็อกซ์
– ถ้าต้องการจะฉีดโบท็อกซ์ ไม่ว่าจะเพื่อลดริ้วรอย หรือปรับโครงหน้า ขอแนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินก่อนเสมอ หาข้อมูลคลินิกและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
– หากกินวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ แนะนำให้หยุดก่อน 1 สัปดาห์ จะช่วยลดอาการเขียวช้ำจากการฉีดได้
– หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว แนะนำให้กัดฟัน ขยับปากหรือเคี้ยวหมากฝรั่งประมาณ 40 นาที เพื่อกระตุ้นให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
– ห้ามนอนราบ 3 ชั่วโมง
– หลีกเลี่ยงความร้อนจากการอาบน้ำอุ่น ไดร์เป่าผมและงดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ไม่เต็มที่
– งดออกกำลังกายหนัก 1 สัปดาห์
– ห้ามนวดหน้าหรือทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์ แต่สามรถล้างหน้า ทาครีม ทาโลชั่นได้ตามปกติ แต่อาจจะต้องเบามือลงในจุดที่ฉีด
ข้อมูลโดย
แพทย์หญิงธัญรัชต์ จันทโรทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ความงาม