จากกรณีเฟซบุ๊คของคุณ ชลลดา ดำสุวรรณ เปรี้ยว ออกมาโพสต์เตือนภัยกรณีคนที่ชอบกินของสุกๆดิบๆ หลังแฟนหนุ่มของเธอมีอาการปวดท้องน้อย และคันบริเวณรูทวารหนัก พร้อมถ่ายออกมาเป็นพยาธิกว่า 10 รอบ วันนี้ GangBeauty เลยขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ “พยาธิตัวตืด” ภัยเงียบสำหรับคนชอบกินสุกๆดิบๆ
พยาธิตัวตืดคืออะไร
พยาธิตัวตืด เป็นพยาธิตัวแบน สีขาวขุ่น ลำตัวมีลักษณะเป็นปล้อง และมีความยาวหลายเมตร อาศัยอยู่ในลำไส้ของคนและทำให้เกิดการป่วยติดเชื้อ โดยชนิดที่บ่อยพบ คือ ตัวตืดหมู และตัวตืดวัว เข้าสู่ร่างกายผ่านน้ำดื่มหรืออาหารที่เจือปนไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิ โดยเฉพาะอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ซึ่งมักพบอยู่ในกล้ามเนื้อหมู วัว และควาย เมื่อพยาธิตัวตืดเข้าสู่ร่างกาย ตัวอ่อนของพยาธิอาจเคลื่อนออกจากลำไส้แล้วสร้างถุงน้ำหุ้มตัวอ่อนเป็นระยะตัวอ่อนเม็ดสาคูตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตา กล้ามเนื้อ หัวใจ หรือสมอง โดยทั่วไปผู้ป่วยที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดมักมีอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่การแพร่กระจายของตัวอ่อนอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการตรวจรักษาทันการณ์
สาเหตุของพยาธิตัวตืด
การติดเชื้อพยาธิตัวตืดมักเกิดจากการบริโภคไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิ ซึ่งมักเป็นชนิดพยาธิตืดวัว (Taenia Saginata) และพยาธิตืดหมู (Taenia Solium) โดยตัวอ่อนจะพัฒนาเป็นพยาธิตัวเต็มวัยและอาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ได้นานถึง 30 ปี และอาจมีความยาวกว่า 15.2 เมตร ซึ่งไข่และตัวอ่อนของพยาธิมีโอกาสเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้หลายทาง เช่น
– การรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อควายที่ปรุงไม่สุก เช่น ลาบ แหนม
– การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระของสัตว์หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืด
– การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อพยาธิตัวตืด โดยไข่ของพยาธิอาจหลุดปนมากับอุจจาระ และอาจติดตามผิวหนัง เสื้อผ้า และอาหารได้
อาการของพยาธิตัวตืด
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดในลำไส้มักไม่มีอาการของโรคปรากฏ แต่บางรายอาจมีอาการป่วยแสดงออกมาหากพยาธิเคลื่อนไหวอยู่ในลำไส้ อาการจะขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิตัวตืดและตำแหน่งที่พยาธิอาศัยอยู่ โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดในลำไส้จะมีอาการดังต่อไปนี้
– คลื่นไส้
– เหนื่อยล้า อ่อนแอ
– เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
– ปวดท้อง ท้องเสีย
– ขาดสารอาหาร
นอกจากนี้ หากตัวอ่อนของพยาธิตัวตืดเคลื่อนออกจากลำไส้แล้วสร้างถุงหุ้มตัวเองเป็นตัวอ่อนเม็ดสาคูตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้ เกิดอาการแพ้ ติดเชื้อแบคทีเรีย มีถุงน้ำหรือก้อนเนื้อตามร่างกาย หรืออาจส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ถูกทำลาย เช่น ดวงตา ตับ หัวใจ และสมอง โดยเฉพาะหากมีตัวอ่อนเม็ดสาคูในสมองและไขสันหลัง จะทำให้มีอาการของโรคในระบบประสาท รวมทั้งเกิดอาการชักได้
การรักษาพยาธิตัวตืด
การติดเชื้อพยาธิตัวตืดส่วนใหญ่รักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยาที่มีฤทธิ์เป็นพิษต่อพยาธิตัวเต็มวัย เช่น พราซิควอนเทล อัลเบนดาโซลและนิโคลซาไมด์ โดยแพทย์จะจ่ายยาเพื่อรักษาตามชนิดพยาธิและตำแหน่งที่พยาธิอาศัยอยู่ นอกจากนี้ หากพบว่าพยาธิตัวตืดแพร่กระจายและลุกลามไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย แพทย์จะพิจารณาบริเวณที่พยาธิอาศัย ระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น แล้วหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมด้วยวิธี ดังนี้
– ยารักษาโรคพยาธิ เช่น อัลเบนดาโซล นิโคลซาไมด์ พราซิควันเทล และอัลเบนดาโซล ซึ่งจะออกฤทธิ์ทำให้ถุงห่อตัวอ่อนของพยาธิฝ่อลง และทำลายผิวของพยาธิ ทำให้พยาธิเป็นอัมพาต ซึ่งแพทย์อาจนัดผู้ป่วยมาตรวจร่างกายอีกครั้งด้วยการตรวจอุจจาระ เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวด์ เพื่อให้แน่ใจว่ายารักษามีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยารักษาโรคพยาธิตัวตืดทุกครั้ง และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะพยาธิตัวตืดหมูที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจากระยะตัวอ่อนพยาธิจนมีอาการป่วยรุนแรงถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับยารักษาอย่างถูกต้อง
– ยาต้านการอักเสบ ถุงน้ำที่หุ้มตัวอ่อนของพยาธิตัวตืดที่ตายแล้วอาจส่งผลให้เนื้อเยื่อและอวัยวะในร่างกายบวมอักเสบได้ แพทย์จึงอาจสั่งจ่ายยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ เช่น เพรดนิโซน และเดกซาเมทาโซน เป็นต้น
– ยากันชัก หากผู้ป่วยชักจากการติดเชื้อพยาธิตัวตืดในระบบประสาท แพทย์จะสั่งจ่ายยากันชักเพื่อช่วยบรรเทาอาการชัก
– การระบายน้ำออกจากสมอง การแพร่กระจายของพยาธิตัวตืดอาจส่งผลให้เกิดภาวะโพรงสมองคั่งน้ำซึ่งเป็นภาวะที่มีน้ำในสมองมากเกินไป โดยแพทย์อาจใส่สายระบายน้ำในสมองเพื่อระบายของเหลวออก
– การผ่าตัด แพทย์อาจต้องผ่าตัดเพื่อนำถุงน้ำหุ้มตัวอ่อนบริเวณดวงตา ตับ และปอดออก เนื่องจากถุงน้ำบริเวณดังกล่าวอาจรบกวนการทำงานของอวัยวะจนเกิดอันตรายต่อสุขภาพผู้ป่วยได้ โดยแพทย์อาจผ่าตัดด้วยการใส่สายระบายแล้วฉีดสารต้านปรสิตในสายระบายเพื่อกำจัดถุงหุ้มตัวอ่อนของพยาธิ
การป้องกันพยาธิตัวตืด
การปฎิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้ ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อพยาธิตัวตืดได้
– เลิกรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อควาย และเนื้อปลาแบบดิบๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
– ปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนบริโภคด้วยอุณหูมิสูงตั้งแต่ 52 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพื่อฆ่าไข่และตัวอ่อนของพยาธิ
– ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
– ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนสัมผัสหรือรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าห้องน้ำหรือสัมผัสกับสัตว์
– แช่แข็งเนื้อหมูและเนื้อวัวอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และแช่แข็งเนื้อปลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนนำเนื้อสัตว์มาประกอบอาหาร
– ควรใส่ใจสุขอนามัยของตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะหากต้องคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ
– ผู้ป่วยที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดต้องเข้ารับการรักษาให้หายขาด ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และไม่ถ่ายอุจจาระเรี่ยราดตามพื้นดินหรือสนามหญ้า รวมทั้งไม่นำอุจจาระไปทำเป็นปุ๋ย
– หากจำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่พบการแพร่ระบาดติดเชื้อจากพยาธิตัวตืด ควรรักษาสุขอนามัยมากเป็นพิเศษ โดยเลือกดื่มน้ำสะอาด และปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทานเสมอ