“เมื่อเกิดทิฏฐิมานะ ต่อให้ชนะก็แพ้” สละเวลาอ่าน เตือนสติตนเอง
“ทิฏฐิมานะ” คือ การถือตัวว่าฉันถูก แกผิด และฉันต้องยืนหยัดยึดสิ่งนี้
ในโลกนี้มีคนจำนวนหนึ่ง ที่มีทิฏฐิมานะสูงมาก
สูงมากจนทำลายโอกาสดีๆ ในชีวิต
สูงมากจนทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ในชีวิต
สูงมากจนทำลายช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านไปไม่สามารถเรียกย้อนคืนกลับมาได้
การมีทิฏฐิ มันต่อเนื่องมาจากการมีอัตตา คือตัวกู-ของกู
ยึดมั่นในตัวตนของตัวเองอย่างหนัก
หนักจนต่อเนื่องมาใช้กับคนอื่น
ที่น่าเศร้าที่สุด คือการนำมาใช้กับคนที่เรารักเนี่ยแหละ
สามีภรรยาคู่หนึ่ง อยู่กินมา 20 ปี ไม่มีลูก
ทะเลาะกันในเรื่องเล็กน้อยที่สุด แต่ต่างคิดว่าตัวเองถูก
มี “ทิฏฐิ” กันทั้งคู่ เลยไม่ยอมคุยกัน อยู่ในบ้านกินอยู่กันปกติ
แต่ไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายรออีกฝ่ายที่จะเอ่ยปากก่อน
จนเวลาผ่านไปถึง 2 ปี สามีล้มฟุบในห้องน้ำ
เลยส่งเสียงเรียกภรรยามาช่วย นี่คือการพูดกันครั้งแรกในรอบ 2 ปี
สุดท้าย ภรรยาพาสามีไปโรงพยาบาล
หมอวินิจฉัยว่า? “สามีเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย”
น่าจะมีเวลาอยู่ได้เต็มที่ไม่เกิน 2 เดือน
ทั้งสองคนกอดคอกันร้องไห้เสียใจ
เสียใจที่เหลือเวลาอยู่ด้วยกันอีก 2 เดือน
แต่เสียใจมากกว่าที่เผาเวลา 2 ปีไปอย่างไม่มีความหมาย
นี่แหละผลของทิฏฐิมานะ
ผลของ “ความยึดมั่นถือมั่น เห็นเป็นสำคัญว่าฉันถูก”
คำถามสำคัญ 3 ข้อที่ครูบาอยากให้เราถามใจตัวเองคือ
1. จริงๆ เราถูกจริงๆหรอ ที่เราแค่คิดเข้าข้างตัวเอง?
2. แล้วจริงๆ สิ่งที่ถูกมันมีมุมเดียวหรอ มุมอื่นที่ถูกต้องก็มีเหมือนกันรึเปล่า?
3. ต่อให้เราถูก เขาผิดจริงๆ แล้วความถูกต้องมันมีค่าแค่ไหนกัน?
มันทำให้เรามีความสุขได้มากกว่า การที่เราปล่อยวางวางลงรึเปล่า?
ในมุมครูบาฯ “ความถูกต้องในสมองไม่มีทางสำคัญไปกว่าความสุขในใจไปได้เลย”
คนที่มีทิฏฐิมานะ คนทั่วไปจะมองเข้ามาแล้วคิดว่าคนๆนี้ช่างยืนหยัด
มีสัจจะ เป็นคนจริง และแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน แต่เรื่องจริงก็คือ
ภายในเขาอ่อนแอและอ่อนไหวมาก
เลยต้องสร้างเกราะกำบังขึ้นมาขวางตาคนไม่เห็นความอ่อนแอนั้น
“ทิฏฐิมานะ” คือเกราะกำบังอันนั้นแหละ
น่าสลดที่ว่า เกราะกำบังอันนี้มันดันเป็นสิ่งเดียวกับกำแพง
ที่กั้นขวางความสุขที่เขาควรได้ควรมีในชีวิตนี้ไปด้วย
ชีวิตคนเรามันสั้นนัก การที่เราจะได้อยู่กับใครซักคนยิ่งสั้นกว่า
จะยึดมั่นถือมั่นไปทำไม จะถือความถูกต้องที่มองจากมุมตัวเองไปทำไม
จะแบกก้อนหินยักษ์นี้ไว้ให้ปวดหลังไปทำไม
ทำไมไม่วางลง? ลดทิฏฐิ ลดอัตตาลง ปล่อยไปเถอะสิ่งที่ยึดไว้
เสียอะไรไปกี่อย่างแล้วชีวิตนี้ เสียโอกาสดีๆไปกี่ครั้ง
เสียช่วงเวลาสวยงามไปนานเท่าไหร่
เสียคนดีๆออกจากชีวิตไปกี่คนแล้ว
แล้วจะปล่อยให้เสียอย่างนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่
ถึงวันต า ยเลยไหม?
อย่าไปยึดเลยทิฏฐิ อย่าไปยึดเลยศักดิ์ศรี คนที่ยึดศักดิ์ศรีอย่างเข้มข้น
สุดท้ายตอนตายจะวางเปล่าและเหงาหงอย เพราะเหลือเพียง
ศักดิ์ศรีจอมปลอมที่ไว้กอดก่อนตายอย่างเดียวดายเนี่ยแหละ
วินาทีที่ใกล้ตาย ถึงจะค่อยมาสำนึกว่าใช้ชีวิตผิดมาตลอด
พวกเราอยากเป็นคนๆ นั้นจริงๆ เหรอ?
ปล่อยวางนะโยม ปล่อยไปเถอะ
อะไรมันหนักก็ค่อยๆวางลง
พอวางได้ใจมันก็จะเป็นสุข
มันจะเบา มันจะโล่ง มันจะอิ่มเอม
คนเราไม่รู้จะตายเมื่อไหร่
จะตายไปทั้งๆที่ใจมันหนัก ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
และไม่ได้สุขในสิ่งที่ควรได้สุขเลย
ครูบาขอเจริญพร