กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งกำหนดคำนิยาม
“สามีและภรรยานอกใจ-มีชู้-มีกิ๊ก” ลักษณะใดเข้าข่ายทำร้ายจิตใจตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความร ุนแรงในครอบครัวบ้าง หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ระบุการกระทำผิดลักษณะดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ด้านเอ็นจีโอจี้พม.เผยแพร่กฎหมายดังกล่าวแจกคู่มือคนทำงาน-ประช าชน
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นางจิตราภา สุนทรพิพิธ รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่าความรุนแรงในครอบครัว หมายถึง การกระทำใดๆ โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ หรือใช้อำนาจครอบงำผิดทำนองคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระท ำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ
“ดังนั้น กรณีที่ผู้หญิงและผู้ชายถูกสามีหรือภรรยาตัวเองนอกใจโดยไม่เต็ม ใจ ย่อมถือเป็นการทำร้ายจิตใจด้วย สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ได้ โดยโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยสำนักงานกิจการสตรีฯ จะเร่งหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อกำหนดนิยามของความรุ นแรงด้านจิตใจให้ชัดเจนว่าต้องมีระดับความรุนแรงอย่างไร หรือส่งผลกระทบกับผู้ถูกกระทำมากน้อยเพียงใด จึงจะเข้าข่ายตามกฎหมายนี้” รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวกล่าว
ด้านน.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยว่า
ระหว่างปี 2548-2550 พบว่ามีผู้หญิงปรึกษาปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 3,496 กรณี ส่วนใหญ่ประสบปัญหามากกว่า 1 กรณีและมักเก็บเงียบ บางรายกลายเป็นผู้ต้องหา พยายามฆ่า หรือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาในที่สุด โดยแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวมากที่ส ุด
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อนหญิงและมูลนิธิหญิงไทย ได้จัดเสวนาเรื่อง “ไม่ทุกข์ซ้ำ ฟื้นเร็วด้วยกระบวนการที่เป็นมิตร” โดยเชิญผู้แทนกลไกสหวิชาชีพด้านกระบวนการยุติธรรม สังคมสงเคราะห์ และสุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแร งในครอบครัว พ.ศ.2550 โดยทุกฝ่ายยอมรับว่ายังมีความสับสนไม่ชัดเจนในการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกรณีที่เป็นการทำร้ายจิตใจ ลักษณะใดจึงจะเป็นความผิดตามกฎหมายนี้ จึงเรียกร้องให้กระทรวงพม. เร่งกำหนดกรอบให้ชัดเจน และจัดทำคู่มือการใช้กฎหมายแจกจ่ายให้กับผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตา มกฎหมาย เช่น พนักงานสอบสวน จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ ผู้พิพากษาและประชาชน