หากเวียนหัวในขณะที่ขยับศีรษะบ่อยๆ อาการเป็นๆ หายๆ เช็กให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เป็นโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด
อาการเวียนหัว บ้านหมุน เกิดขึ้นได้บ่อยในแทบจะทุกช่วงอายุ แต่เรามักจะไม่ทราบว่าอาการเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นก็อาจจะเกิดจากตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุดได้ ซึ่งพอได้ยินอย่างนี้ก็ทำให้เกิดข้อข้องใจขึ้นมาว่า หินปูนในหูชั้นในหลุดได้ยังไง อาการเป็นยังไงบ้าง แล้ววิธีรักษาโรคหินปูนในหูชั้นในหลุด ทำได้อย่างไร ลองมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด เกิดจากอะไร
ในหูชั้นในของเราจะมีอวัยวะควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวอยู่ และภายในอวัยวะนั้นจะมีตะกอนหินปูนที่เคลื่อนไป-มาได้โดยไม่หลุด เพื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของศีรษะ แต่หากตะกอนหินปูนนี้หลุดออกแล้ว เมื่อศีรษะเราเคลื่อนไหวก็จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการเวียนหัวขึ้น ส่งผลต่อการควบคุมการทรงตัวของเรา
สาเหตุของโรคหินปูนในหูชั้นในหลุด (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) หรือตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน หรือโรคนิ่วในหูชั้นใน พบว่า เกี่ยวข้องกับความเสื่อมตามวัย อุบัติเหตุบริเวณศีรษะ โรคของหูชั้นใน การผ่าตัดหูชั้นกลางหรือหูชั้นใน การติดเชื้อ อาการหลังผ่าตัดใหญ่ที่ต้องนอนนานๆ การเคลื่อนไหวศีรษะซ้ำๆ ในท่าเดิมๆ เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ การก้มๆ เงยๆ บ่อยๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อาจทำให้หินปูนในหูชั้นในหลุดและเคลื่อนที่ไป-มาในหูชั้นใน ส่งผลให้ร่างกายส่งสัญญาณไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุนขึ้นมาได้
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด อาการเป็นอย่างไร
แม้อาการโรคหินปูนในหูชั้นในหลุดจะคล้ายอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ก็มีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ ดังนี้
– เวียนศีรษะในขณะเปลี่ยนท่าของศีรษะ เช่น เวียนหัวตอนล้มตัวลงนอน เวียนหัวตอนลุกนั่ง หรือในจังหวะพลิกตัว ก้มหน้าลงต่ำ หรือเงยหน้ามองที่สูง
– อาการเวียนศีรษะ โคลงเคลง เสียการทรงตัวจะเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ หลังมีการเคลื่อนไหวของศีรษะ
– มองไม่ชัด ในลักษณะภาพเบลอในขณะที่มีอาการเวียนศีรษะ
– เมื่อขยับศีรษะในท่าเดิมๆ จะเกิดอาการซ้ำ แต่ความรุนแรงอาจไม่เท่าครั้งแรก
– มีอาการเวียนศีรษะได้หลายครั้งใน 1 วัน โดยอาการมักจะเป็นๆ หายๆ และอาจเป็นต่อเนื่องกว่าสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
– ในรายที่มีอาการเวียนศีรษะมากอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
อย่างไรก็ดี อาการของโรคหินปูนในหูชั้นในหลุดจะไม่รุนแรงถึงขั้นสูญเสียการได้ยิน มีเสียงดังในหู แขน-ขา ชา อ่อนแรง พูดไม่ชัด หมดสติ หรือเป็นลม ยกเว้นจะมีอาการของโรคอื่นๆ แฝงอยู่ ดังนั้นหากมีอาการเวียนหัว บ้านหมุนเมื่อขยับศีรษะ และเป็นๆ หายๆ อยู่หลายวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการ โดยแพทย์จะมีวิธีตรวจภาวะหินปูนในหูชั้นในหลุดโดยเฉพาะเลยล่ะค่ะ
ทั้งนี้ การทำงานหนัก มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การโดยสารยานพาหนะ ก็เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการเวียนหัวมากขึ้นได้ ซึ่งหากมีอาการเวียนหัวขึ้นมา ควรรีบนั่งลง หรือนอนบนพื้นราบให้ศีรษะยกสูงเล็กน้อย ไม่ควรเดินต่อเพราะอาจประสบอุบัติเหตุ หรือหากขับรถอยู่ควรรีบจอดรถข้างทาง เพื่อให้อาการบรรเทาลงก่อน ลดความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด รักษาอย่างไร
วิธีรักษาโรคหินปูนในหูชั้นในหลุดสามารถรักษาได้ด้วย 3 วิธี ดังนี้
1. รักษาด้วยยา
ยาที่ใช้จะเป็นยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ ซึ่งโรคนี้รักษาได้ไม่หายขาด อาจกลับมาเป็นได้อีก ทั้งนี้ผู้ป่วยควรได้รับการทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย
2. กายภาพบำบัด
ผู้ป่วยควรได้รับการทำกายภาพบำบัดด้วยการขยับศีรษะและคอ ตามแรงโน้มถ่วงของโลกเพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนออกจากอวัยวะควบคุมการทรงตัว ให้กลับไปอยู่ในที่เดิม โดยจะเป็นท่าเคลื่อนไหวศีรษะแบบง่ายๆ และช้าๆ ซึ่งการทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้อาการเวียนศีรษะหายเร็วกว่าการรับประทานยาเพียงอย่างเดียว และนอกจากนี้แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยบริหารและฝึกระบบประสาททรงตัว เพื่อให้อาการเวียนศีรษะดีขึ้นด้วย
3. ผ่าตัด
หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรับประทานยาและทำกายภาพบำบัด โดยมีอาการเวียนศีรษะอยู่ตลอดและมีอาการรุนแรง หรือกลับเป็นซ้ำบ่อย แพทย์ก็อาจทำการผ่าตัดโดยใช้ชิ้นส่วนของกระดูกอุดอวัยวะควบคุมการทรงตัว ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนตัวของหินปูนได้
โรคหินปูนในหูชั้นในหลุด ป้องกันได้ไหม
ไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่เราอาจสามารถป้องกันโรคหินปูนในหูชั้นในหลุดได้ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้
– ควรนอนหนุนหมอนสูง หรือนอนให้ระดับศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัว
– หลีกเลี่ยงการนอนราบ
– หลีกเลี่ยงการนอนเอาหูด้านที่กระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะลง
– ควรลุกจากเตียงอย่างช้าๆ และนั่งพักตรงขอบเตียงสัก 1 นาที
– พยายามไม่ก้มหรือเงยโดยเร็ว ควรเคลื่อนไหวศีรษะให้ช้าลง
– หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวของศีรษะหรือลำตัวมาก
– หากมีอาการบ้านหมุน เวียนศีรษะ ควรงดกิจกรรมทุกอย่าง และอยู่นิ่งๆ
– ควรจะทำอะไรช้าๆ ไม่เร่งรีบจนเกินไป
– เลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
– พยายามป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อในหู
หากสังเกตอาการตัวเองแล้วพบว่ามีอาการเวียนศีรษะบ่อยมาก โดยเฉพาะเมื่อขยับศีรษะหรือก้มๆ เงยๆ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาดีกว่านะคะ