ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า T^T” หมดรองพื้นไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เชื่อว่าสาวๆหลายคนกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ แล้วนอกจากการนอนดึกคุณสาวๆรู้หรือเปล่าว่ามีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาของเราดำคล้ำไม่หายซักที ตาม GangBeauty ไปดูกันเลยว่าสาเหตุของมันมีอะไรบ้าง..
1. กรรมพันธุ์
:ไม่ว่าจะจากคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง ถ้าคุณมีญาติขอบตาดำก็แสดงว่าอาจเป็นพันธุกรรมที่ถูกถ่ายทอดมา ซึ่งไม่จำเป็นว่ารุ่นลูกจะขอบตาดำกันทุกคน ยิ่งคนที่มีผิวกายสีขาว ก็จะยิ่งทำให้เห็นความดำคล้ำได้ชัดกว่าคนผิวเหลือง น้ำตาล หรือดำ ซึ่งสาเหตุนี้การรักษาและป้องกันจะค่อนข้างยากกว่าสาเหตุอื่นๆ
2. อายุที่มากขึ้น
:หนังชั้นกำพร้าจะค่อยๆ บางลงตามอายุ หลอดเลือดจึงโผล่ออกมาให้เห็นเป็นผิวคล้ำๆ หรือทำให้เป็นรอยคล้ำใต้ตาที่เกิดจากผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อย จนทำให้เกิดเป็นเงาดำใต้ตา รอยดำจากสาเหตุนี้มักพบการมีรอยย่นรอบดวงตาโดยรอบ ในรายที่เป็นมากๆ อาจมีถุงใต้ตาร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งแพทย์มักจะรักษาโดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เลเซอร์ คลื่นความถี่วิทยุที่มีผลทำให้ผิวหนังใต้ตากระชับขึ้น การฉีดสารเติมเต็มเพื่อให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น หรือในรายเป็นที่มากๆ มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ ก็อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
3. ผิวใต้ตาบาง
:รอยคล้ำที่เกิดจากการมีผิวหนังใต้ตาบางหรือมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังบริเวณนั้นบางลงร่วมด้วย ซึ่งมักเกิดจากเส้นเลือดใต้ผิวหนัง รอยคล้ำใต้ตาจากสาเหตุนี้มักจะมีสีออกม่วงและเห็นชัดมากบริเวณด้านหัวตา โดยเฉพาะในช่วงที่มีประจำเดือน ซึ่งจะต้องรักษาด้วยการใช้เลเซอร์กำจัดเส้นเลือด หรือฉีดสารเติมเต็มเพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นดูหนาขึ้น
4. ขอบตาคล้ำจากภาวะเสียสมดุล
:เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ อดนอน พักผ่อนน้อย สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน เพราะทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ ทำให้เกิดรอยคล้ำชัดขึ้น, การอ่อนล้าของระบบประสาทจากความเครียด อารมณ์แปรปรวน, การกินของเย็นในขณะมีประจำเดือน, การกินอาหารจำพวกแป้งและของหวานมากเกินไป จนทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญ มีคาร์บอนไดออกไซด์มาก ทำให้เลือดดำคล้ำ, การมีเพศสัมพันธ์ที่มากจนเกินไป จะทำให้สูญเสียพลังและสารจำเป็น, การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือสูญเสียเสียพลังเรื้อรัง, ภาวะความเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งมีหลายปัจจัย เช่น อาหาร ยา สารพิษ โรคตับ ฯลฯ, ภาวะสารแคลเซียมในร่างกายน้อย, ภาวะของตับและไตพร่อง (จะมีอาการหน้าขาวซีด กลัวหนาว แขนขาเย็น มีตกขาวใส ปวดเมื่อยเอว มีอาการร้อนตามฝ่ามือฝ่าเท้า มีไข้ต่ำๆ ฝันบ่อย นอนไม่หลับ ฯลฯ) เป็นต้น
5. การสร้างเม็ดสีบริเวณผิวหนังใต้ตาเพิ่มขึ้น
:เช่น เป็นภูมิแพ้จนทำให้เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วๆ ไป ยิ่งคันตาบ่อย อดไม่ได้ต้องขยี้ตาจะยิ่งทำให้ตาคล้ำง่าย การขยี้ตาจะเป็นการกระตุ้นเซลล์ให้เซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย หรือในกรณีที่รอยคล้ำใต้ตาเกิดจากการสร้างเม็ดสีบริเวณผิวหนังใต้ตาเพิ่มขึ้น โดยมักพบในภาวะรอยดำที่เกิดตามหลังจากการอักเสบในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ผิวหนังเรื้อรัง (atopic dermatitis) หรือเกิดการแพ้จากการสัมผัสสารต่างๆ (allergic contact dermatitis) ซึ่งรอยคล้ำใต้ตาจากสาเหตุนี้มักมีสีออกเทาๆ เมื่อเอามือรีดผิวหนังบริเวณนั้น รอยคล้ำก็จะไม่จางลง สามารถรักษาด้วยการใช้ครีมที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีต่างๆ หรือใช้เลเซอร์กำจัดเม็ดสีทำให้รอยคล้ำใต้ตาดูจางลง
6. อาการตาแห้ง
:ขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยง หลายคนแก้ไขผิดวิธี ด้วยการขยี้ตาเพื่อให้มีน้ำตา จึงทำให้ขอบตาดำคล้ำ ที่ถูกคือคุณควรดื่มน้ำให้มากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ส่วนอาการตาแห้ง ควรหยอดน้ำตาเทียมวันละ 4-5 ครั้ง
7. ปานโอตะ
:บางคนอาจเป็นส่วนน้อยที่มีปานโอตะอยู่ที่ขอบตา ซึ่งปานโอตะก็คือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ซึ่งมักจะเป็นรอบตาข้างเดียว แต่บางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง จึงทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ
8. เกิดจากการระคายเคืองรอบดวงตา
:เช่น การแพ้สารบางอย่างในครีมทารอบดวงตา แพ้มาสคาร่า เป็นต้น แล้วทำให้เกิดอาการคัน พอคันก็จะถูขยี้ตา ดังนั้นคนที่มีผิวแพ้ง่ายก่อนจะใช้เครื่องสำอางอะไรก็ควรจะทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนที่ท้องแขน