ปัจจุบันการทำงานหรือบริหารเวลาให้ลงตัวนั้นถือเป็นเรื่องยากมากๆ ทั้งต้องแข่งกับเวลา ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ทำให้การกระทำในชีวิตประจำวันส่งผลเสียต่อร่างกายโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว ถึงเวลาที่เราต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำร้ายสุขภาพ-ร่างกายของเราได้แล้ว วันนี้เรามาเตือนถึงพฤกรรมแย่ๆที่เรามักทำจนติดเป็นนิสัยกันค่ะว่า พฤติกรรมดังต่อไปนี้ตรงกับคุณมากแค่ไหน ถ้าตรงตามนี้คุณควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดี ก่อนที่ร่างกายจะรับการทำงานหนักไม่ไหวนะคะ !!!
1. นอนดึก เพราะการนอนดึกทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมาหรือหลั่งออกมาน้อยเกินไป และเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เนื่องจากคนนอนดึกมักจะหิวและต้องหาอะไรมารับประทาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน
2. สูบบุหรี่และดื่มสุรา ทั้งสองสิ่งนี้ส่งผลเสียต่ออวัยวะภายในและภายนอก ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้แก่เร็วและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง นำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
3. เครียดจัด หรือเป็นโรคเครียดเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังบั่นทอนชีวิตในทุกมิติ ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และหน้าที่การงาน
4. ทานของร้อนจัด เช่น ชาร้อนหรือกาแฟร้อน ถ้าไม่ระวังอาจจะไปลวกเซลล์หลอดอาหารจนอักเสบ และมีโอกาสเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด รอให้อยู่ในระดับอุ่นๆ ก็พอ
5. กลั้นปัสสาวะ อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าน้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นจะทำให้กระเพาะปัสสาวะสะสมสิ่งเน่าเสีย ส่งผลให้เกิดมะเร็ง หรือทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
6. เสพติดรสเค็ม มีงานวิจัยพบว่าคนที่ชอบกินอาหารเค็มจะมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่าคนที่กินอาหารรสจืด ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบของเค็มให้ลดน้อยลงก่อนที่จะสายเกินไป
7. ตากแดดบ่อยและนาน เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง เพราะแสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นเซลล์ให้แบ่งตัวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดที่แรงจัด ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทาครีมกันแดด กางร่ม หรือใส่เสื้อผ้าปกคลุมให้มิดชิด
8. ดูทีวีมากเกินไป เป็นสิ่งที่อยู่กับมนุษย์กันมาเนิ่นนาน และก็เป็นกิจกรรมโปรดของใครหลายๆ คน สำหรับการดูทีวี หนังสือพิมพ์ New York Times เผยว่าทุกๆ 1 ชั่วโมงที่ใช้ไปกับการดูทีวีของคนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป จะทำให้อายุสั้นลง 21.8 นาที
9. กินของไม่มีประโยชน์มากเกินไป ทุกวันนี้ก็มีของกินแปลกๆ ใหม่ๆ มากมายจากทั่วทุกมุมโลกมาให้เหล่านักชิมได้ลิ้มรสกับรสชาติอันสุดแสนจะฟิน แต่บางอย่างนั้นก็แฝงไปด้วยอันตราย ไม่ว่าจะเป็นการได้สารอาหารไม่ครบ, มีพลังงานสูงเกินไป, วัตถุดิบไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนหรือโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ตามมา
10. ใช้เวลาเดินทางมากเกินไป รถติด ปัญหาโลกแตกที่ชาวไทยกำลังประสบอยู่ ล่าสุดก็ได้ขึ้นแท่นอันดับที่ 1 ว่าเป็นประเทศที่รถติดที่สุดในโลก (เป็นอันดับ 1 ที่ไม่น่าภูมิใจเลยสัดนิด) สำหรับคนที่ใช้เวลาเดินทางมากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงที่จะตายเร็วเนื่องจากความเครียดสะสมนั่นเอง
11. นอนน้อยหรือนอนเยอะเกินไป เรื่องการนอนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ของมนุษย์เลยทีเดียว ผลงานวิจัยของ Harvard Medical School เผยว่าคนเราจะมีอายุสั่นลง ถ้าเกิดนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง หรือนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงในเวลากลางคืน โดยผู้ที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงจะเสี่ยงต้อการเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง,โรคเกี่ยวกับระบบความจำ และนํ้าหนักเพิ่มด้วย ส่วนนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคเช่นกัน ฉะนั้นใครชอบบวกเกมไม่หลับไม่นอนก็ดูแลสุขภาพกันด้วยเด้อ
12. กลัวตายหรือรู้สึกอยากตาย นับว่าเป็นอาการที่อันตรายมากเลยล่ะ สำหรับอาการกลัวตายหรืออาหารอยากตาย ทางทีมวิจัยของ JAMA Psychiatry ที่ทำได้การวิจัยชาวอเมริกาที่หวาดกลัวความตายจากผู้ก่อการร้ายเมื่อ 2001 พบว่ามีอัตราเสี่ยงในการที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงถึง 3 – 5 เท่า ส่วนคนแก่ที่อยู่ช่วงปลายชีวิต ที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จะมีความรู้สึกเหงาและไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป ก็จะทำให้อายุสั้นลง
13. หักโหม ทำงานไม่มีเวลาหยุด ทำงานจนลืมป่วย จนในที่สุดคุณก็จะป่วยจริง ที่สำคัญผลลัพธ์ของผลงานก้จะไม่ดี ดังนั้น เมื่อรู้สึกเหนื่อยใจแทบขาด ตาลืมไม่ขึ้น ให้งีบเลย ตื่นขึ้นมาสมองจะสดชื่นคิดอะไรได้ง่าย และใช้เวลาทำงานน้อยลงนั้นเอง
14. คิดทุกเรื่อง ข้อนี้เรียกได้ว่าเเต่อย่ามองข้ามเด็ดขาด เพราะถ้าเราเลิกคิดเรื่องเครียดๆจะทำให้จิตใจสดชื่นเเจ่มใส ทำให้คุณมีทั้งร่างกายเเละจิตใจที่ดี เลิกคิด เลิกเครียด จะทำให้คุณอายุยืนมากขึ้น
15. รับประทานยาบ่อยเกินไป หลายคนมีพฤติกรรมดังกล่าวเพราะไม่ว่าร่างกายจะผิดปกติมากน้อยแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่คุณจะทำคือกินยากันเอาไว้ พฤติกรรมดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสม เพราะจะทำให้ตับต้องทำงาน เพราะตับจะทำหน้าที่กลั่นกรองสารพิษที่มาจากยาเหล่านี้โดยตรง ดังนั้นพฤติกรรมนี้จึงมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับ ทางที่ดีหากมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยควรไปพบแพทย์ อย่ากินยาด้วยตัวเองจะดีที่สุด