คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ในระบบประกันสังคมสามารถใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้
การตัดสินใจมีบุตรสักคน เป็นเรื่องสำคัญของครอบครัว เพราะนอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว ค่าใช้จ่ายก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตร เริ่มตั้งแต่การฝากครรภ์ การคลอดบุตร การเลี้ยงดูบุตร ซึ่งมักจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง แต่สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์และอยู่ในระบบประกันสังคม อาจจะสามารถแบ่งเบาค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยการใช้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมได้ เราจึงนำข้อมูลจาก K-Expert ที่ได้อัปเดตสิทธิประโยชน์ประกันสังคมช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของคนเป็นแม่ได้มาฝาก
สิทธิค่าตรวจและการฝากครรภ์
ประกันสังคมได้มีการเพิ่มประโยชน์ทดแทนค่าตรวจครรภ์และฝากครรภ์ให้แก่ผู้ประกันตนอีก 1,000 บาท โดยแนวทางการขอรับประโยชน์ทดแทน จะต้องมีการจ่ายเงินเข้าประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเดือนที่ใช้สิทธิ
เช่น ถ้าเริ่มตั้งครรภ์เดือนมีนาคม 2562 ประกันสังคมจะนับย้อนหลังไป 15 เดือน จากเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งภายในช่วงเวลาดังกล่าว ต้องมีการจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน และจะต้องมีหลักฐานการเข้ารับบริการจากสถานพยาบาลที่ไปใช้บริการฝากครรภ์ในแต่ละครั้ง ทั้งนี้ สิทธิการตรวจและการฝากครรภ์ให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 โดยประกันสังคมจะจ่ายผลประโยชน์ทดแทนให้ตามอายุครรภ์
– อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ประกันสังคมจะจ่ายให้ตามจริง แต่ไม่เกิน 500 บาท
– อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ประกันสังคมจะจ่ายให้ตามจริง แต่ไม่เกิน 300 บาท
– อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ ประกันสังคมจะจ่ายให้ตามจริง แต่ไม่เกิน 200 บาท
ผู้ประกันตนสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนในส่วนค่าตรวจและรับฝากครรภ์เพิ่มเติมได้ ไม่ต้องรอให้มีการคลอดบุตร หรือจะยื่นขอรับพร้อมกับการยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรก็ได้ กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าตรวจและรับฝากครรภ์เพียงฝ่ายเดียว ไม่สามารถใช้สิทธิพร้อมกันในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง
สิทธิค่าคลอดบุตร
สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ 13,000 บาทต่อการคลอดบุตรแต่ละครั้ง จากเดิมไม่เกิน 2 ครั้ง มาเป็นไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยสามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้เมื่อมีการจ่ายเงินเข้าประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร โดยนำสูติบัตรมาประกอบการยื่นเรื่องเบิกได้ที่สำนักงานประกันสังคม กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
สิทธิการลาคลอด
คุณแม่ที่เป็นผู้ประกันตนสามารถลาคลอดได้ 90 วัน และจะได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรไม่เกิน 2 ครั้ง ในอัตราครั้งละร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย (ฐานเงินค่าจ้างสูงสุดที่นำส่งประกันสังคมอยู่ที่ 15,000 บาท) เป็นเวลา 90 วัน
ตารางแสดงผลประโยชน์ทดแทนที่ได้รับจากประกันสังคมจากการคลอดบุตร 1 ครั้ง (หน่วยเป็นบาท)
ประกันสังคม
สิทธิเงินสงเคราะห์บุตร
ประกันสังคมได้เพิ่มประโยชน์การรับเงินสงเคราะห์บุตรให้คุณพ่อหรือคุณแม่ผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นจากเดือนละ 400 บาท ต่อบุตร 1 คน เป็นเดือนละ 600 บาท ต่อบุตร 1 คน และเบิกได้ไม่เกิน 3 คน โดยให้มีผลย้อนหลังใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 โดยจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร เมื่อมีการจ่ายเงินเข้าประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน
ในการรับสิทธิเงินสงเคราะห์บุตรต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย มีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ (ไม่รวมบุตรบุญธรรม หรือบุตรที่ได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น) แม้ว่าคุณพ่อหรือคุณแม่ที่ใช้สิทธิเกิดทุพพลภาพหรือเสียชีวิตก่อนลูกมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ ประกันสังคมก็ยังจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรจนบุตรมีอายุ 6 ปีบริบูรณ์ โดยจ่ายให้กับผู้อุปการะบุตร ซึ่งผู้อุปการะสามารถยื่นคำขอเพื่อรับสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่
ตารางแสดงการจ่ายเงินของประกันสังคม กรณีจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรเพิ่มย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
กลุ่มที่ 1 กรณีผู้ประกันตนที่มีการบันทึกอนุมัติให้ได้สิทธิก่อนวันที่ 15 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งมีระยะเวลาตัดจ่ายย้อนหลัง 1 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร
กลุ่มที่ 2 กรณีผู้ประกันตนที่มีการบันทึกอนุมัติให้ได้สิทธิตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งมีระยะเวลาตัดจ่ายย้อนหลัง 3 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร
ดังนั้น หากภายในวันที่ 31 มกราคม 2562 คุณพ่อคุณแม่ผู้ประกันตนยังไม่ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรย้อนหลัง แนะนำให้รีบติดต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ เพื่อขอรับเงินสงเคราะห์บุตรย้อนหลัง หรือโทร. ตรวจสอบสิทธิรับเงินสงเคราะห์บุตรย้อนหลังได้ที่ 1506
ทั้งนี้ นอกจากคุณแม่คุณพ่อผู้ประกันตนจะได้สิทธิประโยชน์ทดแทนจากประกันสังคมมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการมีบุตรแล้ว สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังมีรายได้ที่ต้องเสียภาษี แนะนำว่าอย่าลืมนำค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตรหลังหักสิทธิประโยชน์ทดแทนจากประกันสังคมและสวัสดิการอื่นๆ ในส่วนที่ยังไม่เกิน 60,000 บาท และค่าลดหย่อนบุตรตามเกณฑ์ของกรมสรรพากรมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมและสิทธิลดหย่อนภาษีได้ แต่การมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาในครอบครัวจะมีค่าใช้จ่ายที่มากพอสมควรในการเลี้ยงดูบุตรให้เติบโต ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงควรเตรียมความพร้อมด้วยการวางแผนทางการเงิน
หากเป็นค่าใช้จ่ายระยะสั้นเมื่อเริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งทำคลอด และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรช่วงแรกเกิดถึงอายุ 2 ขวบ แนะนำคุณพ่อคุณแม่วางแผนเก็บสะสมในรูปกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ แต่หากเป็นการวางแผนการศึกษา ซึ่งเป็นการวางแผนทางการเงินระยะยาว มีวิธีการลงทุนหรือออมหลากหลายที่จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านชีวิตและทางการเงินไปพร้อมกัน เช่น การลงทุนในกองทุนรวมผสม หรือการทำประกันชีวิตแบบจ่ายแล้วได้รับเงินคืนระหว่างสัญญา ครบกำหนดรับเงินคืนเป็นก้อนไว้สำหรับเป็นเงินทุนสนับสนุนการศึกษาของลูกในอนาคต เป็นต้น