ไม่สำคัญว่า
มีทรัพย์มากหรือน้อย
แต่สิ่งสำคัญคือ
ต้องใช้ให้น้อยต่างหาก..
ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด
คนจนยิ่งจนเพราะทำรวย
คนรวยยิ่งรวยเพราะทำจน
ทำตัวให้เป็นปกติ
ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น..
ชีวิตก็จะเป็นปกติ
ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี
เป็นคนอาภัพอับโชคที่สุดในโลก?
ยินดีในสิ่งที่ตนได้พอใจในสิ่งที่ตนมี
เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก?
อดทนได้จงอดทน อดใจได้?.จงอดใจ
ไม่อดทน ไม่อดใจ?.เรื่องเล็กจักกลายเป็นเรื่องใหญ่
คนที่มีความสุขมิใช่คนที่มีมากที่สุด
แต่เป็นคนที่ต้องการน้อยที่สุด
ยิ่งมีความต้องการน้อยลง
สมบัติที่มีอยู่เดิมก็ดูเหมือนมีมากขึ้น
ความสุขหรือความทุกข์ของชีวิตบางครั้งเหมือนการมองผ่านกระจก
หากกระจกใสสะอาดเมื่อมองสิ่งใดย่อมมีแต่ความสุขปราศจากความขุ่นมัว
หากกระจกขุ่นมัวเมื่อมองสิ่งใดแม้เป็นสิ่งเดียวกันก็มีแต่ความทุกข์ใจ
จงจำไว้ว่าความสุขอยู่ไม่ไกล?
เพียงเช็ดกระจกให้ใสเช็ดใจให้สะอาดเท่านั้นเอง
ทุกข์อยู่ที่ใจทุกข์ของใครก็ของมัน
ทุกข์อยู่ที่ใจใครจะเก็บไว้ก็ช่างมัน
สุขอยู่ที่ใจฉันเก็บมันไว้ทุกวัน
สุขอยู่ที่ใจฉันจะให้กันและกัน
ฝึก 9 อย่างนี้ ความทุกข์จะเข้าไม่ถึงใจเรา
วิธีการฝึกจิตใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิและสติอยู่ตลอดเวลา โดยกูรูได้ชี้แนะให้ประชาชนได้ลองฝึกควบคุมจิตใจของตัวเอง และเมื่อทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเองจิตใจเราจะได้สงบและไม่เป็นทุกข์ มาดูกันเลยครับ
1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป
2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย
3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง
4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว
5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย
6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา
กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา
7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจาก ความเป็นขี้ข้าของเงิน
หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน
การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน
8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย
ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น
9. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน เคยได้ยินไหม คำนี้ “อยู่กับปัจจุบัน” พูดง่ายนะแต่ทำยากมากๆ การอยู่ปัจจุบันก็คือการไม่หลงเข้าไปในความคิดของตน สติเท่านั้นที่จะเป็นตัวรู้ ตัวดู ว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่ สังเกตุดูง่ายๆ?.
หากเรากำลังรู้สึกหดหู่ใจ นั่นแปลว่า เรากำลังอยู่กับอดีต
หากเรากำลังรู้สึกกังวลใจ นั่นแปลว่า เรากำลังอยู่กับอนาคต
หากเรากำลังรู้สึกดี และมีความสุข นั่นแปลว่า เรากำลังอยู่กับปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าแนะนำว่า ให้ทำทีละอย่าง โฟกัสทีละงาน ความทุกข์จะเข้าไม่ถึงใจเราแน่นอน !
9 ข้อนี้ลองฝึกกันดูนะค่ะ เพื่อทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่อยากทุกข์นี่แหละคือการดับทุกข์ด้วยตัวเอง