หากพูดถึงเรื่องตดหรือการผายลมแล้ว หลายคนมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งบางครั้งก็ละเลยและไม่ได้สนใจต่อจำนวนครั้งในแต่วันด้วย เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ถูกมองข้ามอย่างง่ายดาย แต่หารู้ไม่ว่าจำนวนการตดในแต่ละวันสามารถบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้เยอะ ดังนั้นวันนี้ Gang Beauty จึงอยากจะชวนทุกคนมาเช็กตัวเองง่าย จากการนับครั้งที่ตดต่อวัน..
ทาง honestdocs.co บอกไว้ว่า.. โดยปกติแล้ว ผู้ที่มีร่างกายอุดมสมบูรณ์และแข็งแรงดีจะตดประมาณ 14 – 23 ครั้งต่อวัน
เมื่อใช้เกณฑ์นี้เป็นตัววัดแล้ว การผายลมที่มากกว่า 23 ครั้งภายในหนึ่งวันถือว่าผิดปกติ โดยความผิดปกตินี้อาจเกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดแก๊สในร่างกายมากเกินไป เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ชีส กระหล่ำปลี หัวหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม หรืออาจเกิดจากภาวะความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งภายในร่างกาย
การผายลมบ่อยมากเกินไปนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกสุขภาพภายในได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการผายลมมีด้วยกันดังนี้
– โรคมะเร็งลำไส้
– โรคลำไส้แปรปรวน
– ระบบดูดซึมอาหารทำงานผิดปกติ
– การแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของแลคโตส (lactose) เช่น นมวัวและโยเกิร์ต
– ภาวะที่เกี่ยวของกับกระเพาอาหาร เช่น การที่อาหารเป็นพิษ
เราควรหมั่นนับจำนวนครั้งที่เราผายลมในแต่ละวันเพื่อสังเกตการทำงานที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ หากมีการผายลมที่บ่อยครั้งเกินไปติดต่อกันเป็นเวลานานควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สได้ง่าย แต่หากยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และหาทางแก้ไขอย่างเร็วที่สุด
ตดดังและตดเหม็น อันตรายหรือไม่?
การผายลมที่มีเสียงดัง เกิดจากการที่แก๊สถูกขับออกมาด้วยแรงดันอากาศหรือแรงเบ่งที่สูงมาก หรืออาจเกิดจากการที่แก๊สต้องแทรกตัวผ่านกล้ามเนื้อหูรูดที่บีบตัวแน่น เสียงที่มาพร้อมกับการผายลมจึงไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไร
ส่วนกลิ่นตดนั้น ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ส่วนใหญ่แล้วอาหารจำพวกโปรตีนจะก่อให้เกิดแก๊สที่มีกลิ่นเหม็นมาก เช่นอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ไข่ ชีส และนม รวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆ ด้วย อีกทั้งแก๊สเหล่านี้ต้องเดินทางผ่านลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอาหารและกากอาหารที่ถูกย่อยสลายแล้ว จึงมีกลิ่นเหม็นเป็นธรรมดาและไม่ถือว่าเป็นสัญญาณของความผิดปกติของสุขภาพแต่อย่างใด