เหงื่อเป็นปัญหากวนใจหนึ่งที่สร้างความรำคาญสำหรับหลายๆ คนมาก โดยเฉพาะประเทศไทยเราเป็นเมืองร้อนจนบางทีก็ทำให้เกิดปัญหาในชีวิตประจำวันเหมือนกัน ยิ่งบางคนเหงื่อออกมากและยังมีกลิ่นอีก ทำให้กลิ่นตัวแรงจนคนรอบด้านไม่มีใครอยากเข้าใกล้ด้วย แต่รู้มั้ยคะเหงื่อนี้ไม่ใช่ว่าจะมีกลิ่นกันทุกคนนะ
ความแตกต่างของคนมีกลิ่นเหงื่อและไม่มีกลิ่นเหงื่อ
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ แถบคันโต โทไก โฮกูริกุ และทางใต้ของโทโฮกุ ได้เข้าฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว ช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูงแบบนี้ยิ่งทำให้เกิดความร้อนอบอ้าวส่งผลให้มีกลิ่นตัวเหม็นขึ้นไปอีก พยากรณ์อากาศ Weather News ของญี่ปุ่นได้ดำเนินการสำรวจเกี่ยวกับความเห็นว่า “ทุกคนมีมาตรการป้องกันกลิ่นเหงื่อหรือไม่” (ตั้งแต่วันที่ 27 – 28 พฤษภาคม 2019 มีผู้ตอบ 8,868คน) ผลสำรวจที่ได้คือคนที่ตอบว่ามีนั้นมีจำนวนมาก รองลงมาคือคิดว่าจำเป็นแต่ไม่ได้ทำอะไร มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้มีมาตรการอะไรเลย
สีน้ำเงิน : มีการคิดทางป้องกัน สีแดง : คิดว่าจำเป็นแต่ไม่ได้ทำ สีเขียว : คิดว่าไม่จำเป็น
จากตารางกราฟด้านบนจะเห็นว่าคนที่มีการคิดหาทางป้องกัน จำนวนผู้หญิงจะมากกว่ามาก (ผู้ชาย : 52% ผู้หญิง 71%) เพราะผู้หญิงจะไวต่อกลิ่นมากกว่า ผู้อำนวยการของคลินิกโกมิ ได้อธิบายความแตกต่างของเหงื่อที่มีกลิ่นและไม่มีกลิ่นดังนี้
ตัวเหงื่อเองนั้นแทบไม่มีกลิ่น
สาเหตุของกลิ่นเหงื่อนั้นอยู่ที่กลไกการทำงานของเหงื่อ เหงื่อจะทำหน้าที่ขับของเสียออกมาทางผิวหนังหรือระบายความร้อน เช่น เวลาอยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูงจะมีเหงื่อออกมา ซึ่งเป็นวิธีการระบายความร้อนอย่างหนึ่งพร้อมขับของเสียต่างๆ ออกมา
ตัวเหงื่อจะขับออกมาทางต่อมเหงื่อ ซึ่งต่อมเหงื่อมีอยู่ทั่วผิวหนังบนร่างกาย แต่บางตำแหน่งมีต่อมเหงื่อสะสมอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมากกว่าปกติ เช่น บริเวณหนังศีรษะ รักแร้ และฝ่ามือฝ่าเท้า เวลาที่เราเหงื่อออกจะออกพร้อมกันทั้งตัว แต่บางตำแหน่งที่มีต่อมเหงื่ออยู่รวมกันมากเป็นพิเศษก็จะมีปริมาณของเหงื่อมาก
ในเหงื่อของคนเราจะมีสารหลายอย่างรวมถึงไขมันซึ่งเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดีเลย พอมีแบคทีเรียอยู่บนผิวหนังและมีเหงื่อตรงบริเวณไหน แบคทีเรียก็จะไปอยู่ตรงนั้นมากเป็นปกติ และแบคทีเรียกลุ่มนี้มักจะสร้างกลิ่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นสาเหตุเกิดจากแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนัง ไม่ใช่กลิ่นของตัวเหงื่อนั่นเอง
นอกจากนี้อาหารที่พวกเราทานก็ส่งผลต่อกลิ่นตัวเหมือนกัน ใครที่ลดควาวมอ้วนโดยทานแต่เนื้อสัตว์แต่ไม่ทานคาร์โบไฮเดรตก็ทำให้เป็นคนที่เหงื่อออกได้ง่ายเช่นกัน เนื่องจากสารแอมโมเนียจะหลั่งออกมาเมื่อโปรตีนแตกตัวทำให้มีกลิ่นตัวที่แรงขึ้น และยังทำให้*สารคีโตนในร่างกายเพิ่มเข้าไปในเลือด สารคีโตนมีกลิ่นคล้ายผลไม้ที่เน่าเสียทำให้เป็นสาเหตุของกลิ่นเหงื่อที่เหม็นได้ คนที่เป็นเบาหวานก็มีสารคีโตนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน (หมอโกมิ)
*สารคีโตน เป็นสารเคมีปลายทางที่เกิดจากร่างกายเผาผลาญไขมันเพื่อให้เป็นน้ำตาล
สังคมปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ขับเหงื่อทำให้เหงื่อมีกลิ่นมากกว่าจริงเหรอ
ชีวิตประจำวันในสังคมปัจจุบันก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เป็นคนมีกลิ่นเหงื่อได้ง่ายเหมือนกัน เนื่องจากส่วนมากจะใช้ชีวิตอยู่กับแอร์ ไม่ว่าะเป็นที่ทำงานหรือบนรถโดยสารต่างๆ ทำให้กลายเป็นคนไม่ค่อยมีเหงื่อออก
ต่อมเหงื่อก็เปรียบเสมือนกล้ามเนื้อของเรา ถ้าไม่มีการใช้งานก็จะทำให้ความสามารถและกลไกรวนได้ ซึ่งถ้าต่อมเหงื่อไม่ได้ถูกใช้งานนานๆ เวลาอยู่ในสถานการณ์ที่ต่อมเหงื่อต้องขับเหงื่อออกมา ทำให้ต้องผลิตเหงื่อที่เม็ดโตและมีความเข้มข้นสูงมากจึงระเหยได้ยาก และต้องขับเหงื่ออกมาเป็นจำนวนมากถึงจะทำให้ร่างกายกลับสู่อุณหภูมิปกติได้ นอกจากนี้ยังทำให้กรดแลคติกที่เป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียและแอมโมเนียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็นมากขึ้น จึงทำให้เวลาเหงื่อออกเยอะจึงมีกลิ่นเหม็นมากกว่า
มาเพิ่มการขับเหงื่อกันเถอะ
เพื่อป้องกันไม่ให้มีกลิ่นเหงื่อที่เหม็น เราต้องมาฝึกต่อมเหงื่อของเราให้ขับเหงื่อออกมาอย่างถูกวิธี สิ่งสำคัญคือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและขับเหงื่อเวลาอาบน้ำ (อาบน้ำอุ่น) ซึ่งการขับเหงื่อแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เหงื่อออกมามากจนเกินไป เพราะเหงื่อนั้นขับออกมาเพื่อระเหยให้อุณหภูมิร่างกายลดลง เราจะขับเหงื่อออกมมากจนเปียกโชกก็ไม่มีประโยชน์ เพียงแค่ให้เหงื่อออกมาซึมๆ ก็พอ ที่สำคัญต้องไม่ปรับอุณหภูมิแอร์ต่ำเกินไป และก่อนจะออกไปข้างนอกให้รีบปิดแอร์ล่วงหน้าสักพักก่อนเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้ปกติก่อน พอรู้แบบนี้้แล้วใครที่กำลังกังวลเรื่องกลิ่นตัว ลองกลับไปทบทวนและทำตามวิธีนี้ดูนะคะ