หากย้อนมองกลับไปในอดีตแล้วลองคิดดู กว่าจะเป็นประเทศไทยในทุกวันนี้ ต้องมีวีรบุรุษที่ยอมสละชีพเข้าแลกเพื่อเอกราชของบ้านเมืองแห่งไทยมากมายนับไม่ถ้วน และแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงประเทศไทยกำลังพัฒนารุ่งเรือง ก็ยังมิวายมีศึกเล็กศึกน้อยที่สั่นคลอนความสุขของคนไทยเข้ามาไม่ขาดสาย Gangbeauty เชื่อว่าเธอหลายคนเคยเรียนเรื่องราวประวัติศาสตร์มามากมาย แต่อาจจะไม่เคยได้ยินประวัติศาสตร์นี้เลยก็เป็นได้!
เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์นี้ เปิดเผยโดยพันเอกสมจริง สิงหเสนี นายทหารนอกราชการ อดีตผู้สื่อข่าวและช่างภาพ กองทัพภาคที่ 3 ที่ได้เล่าว่าเขามีความประทับใจกับสมรภูมิรบที่มีชื่อว่า “ยุทธการภูขวาง” ซึ่งต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2519 ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ ให้ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งดำรงพระอิสริยยศในขณะนั้นเป็น “ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน และราษฎรในพื้นที่ เนื่องจากถูกผู้ก่อการร้ายพรรคคอมมิวนิสต์โจมตี
เริ่มต้นด้วยพระองค์รัชกาลที่ 10 เสด็จถึงพื้นที่บ้านห้วยมุ่นด้วยเฮลิคอปเตอร์ ทันทีที่พระองค์ทรงฟังการบรรยายสถานการณ์ทั้งหมด พระองค์ก็ทรงมีรับสั่งกับแม่ทัพภาคที่ 3 ขณะนั้นด้วยพระสุรเสียงอันหนักแน่นว่า “จะต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้” และแม้ว่าแม่ทัพภาคที่ 3 จะกราบบังคมทูลทัดทาน ห้ามพระองค์ไม่ให้เสด็จไปเพราะสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจและอันตรายเกินไป แต่พระองค์ก็ยังทรงยืนยันหนักแน่นว่า “ชักช้าไม่ได้ ต้องไปแก้ไขให้ได้ในวันนี้ และเดี๋ยวนี้”
จากนั้นเวลา 15.30 น. ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปยังพื้นที่ประสบภัย ยังไม่ทันที่เฮลิคอปเตอร์จะจอดดี พระองค์ก็กระโดดลงในความสูงประมาณ 12 เมตร แล้ววิ่งหลบ “ฝ่ากระสุน” ที่ปลิวว่อนไปมาอย่างกล้าหาญ ขณะที่ผู้ก่อการร้ายได้ใช้ “อาวุธปืนเล็ก” ระดมยิงเข้ามายังฐานบ้านหมากแข้งอย่างหนัก
พระองค์ได้ทรงออกคำสั่งให้ทหารตามเสด็จฯมาด้วยทุกคน แยกย้ายกันนำทหารยิงโต้ตอบผู้ก่อการร้ายและมีคำสั่งให้ปืนใหญ่จาก “ฐานบ้านห้วยมุ่น” ยิงถล่มผู้ก่อการร้ายทันที พร้อมกันนั้นพระองค์ได้เสด็จฯไปยัง “หลุมบุคคล” รอบฐานปฏิบัติการ ทรงให้คำแนะนำแก่ทหารถึงวิธีวางกำลัง การจัดฐานและวางระบบป้องกันตนเอง รวมทั้งทรงแนะนำเรื่องการกำหนดมุมยิงของปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดด้วย
จนเวลา 16.00 น. ผู้ก่อการร้ายยังระดมยิงก่อกวนอยู่ไม่ขาดช่วง ในหลวงรัชกาลที่ 10 จึงทรงบัญชาการให้ทหารยิงโต้ตอบ พร้อมสั่งการชุดปฏิบัติให้ออกลาดตระเวน โดยพระองค์ก็ยังทรงไม่ฟังคำทัดทานจากแม่ทัพภาคที่ 3 ที่เกรงพระองค์จะทรงได้รับอันตราย ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดลาดตระเวนด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งรับสั่งว่า..”ฉันต้องไปเพราะว่าเป็นหน้าที่ของทหาร”
ขณะที่ทรงนำชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ พระองค์ได้แสดงความกล้าหาญ มี “น้ำพระทัยเด็ดเดี่ยว” อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง ทรงนำหน้าทหารบุกตะลุยไปตามเส้นทางสูงๆ ต่ำๆ มีหญ้าสูงรกทึบ ยากลำบากต่อการเคลื่อนที่ เสี่ยงอันตรายจากถูกซุ่มยิงและถูกกับระเบิด แต่พระองค์ไม่ได้ทรงหวาดหวั่น ระหว่างนั้นผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงมายังชุดปฏิบัติการของพระองค์ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกลัวแต่ประการใด ทรงมีพระสติมั่นคง สั่งทหารดำเนินกลยุทธ์ยิงโต้ตอบ จนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยไป
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด เพราะผู้ก่อการร้ายยังคงยิงเข้ามาไม่ขาดระยะ พระองค์ได้ทรงมีรับสั่งให้จัดชุดปฏิบัติการ นำพระองค์ไปยัง “หมู่บ้านหมากแข้ง” โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการมากและเส้นทางก็มีอันตรายรอบด้าน การเสด็จฯไปยังหมู่บ้านหมากแข้งแห่งนี้ทรงมีพระราชประสงค์เพื่อฟื้นฟูขวัญกำลังใจแก่ราษฎร ท่ามกลางความปลื้มปีติยินดีของชาวบ้าน พระองค์ได้ทรงไต่ถามทุกข์สุข และขอให้ราษฎรทุกคนอย่าได้ย่อท้อวิตกกังวล ขอให้เชื่อมั่นว่า “ทหารจะคุ้มครองความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่”
หลังจากนั้นได้เสด็จฯไปยังบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ทรงตรวจสภาพเฮลิคอปเตอร์อยู่เป็นเวลานาน และต่อมาได้เสด็จฯไป “โรงเรียนบ้านหมากแข้ง” ที่เคยถูกผู้ก่อการร้ายปิดล้อมและยึดไว้ และฝ่ายรัฐยึดกลับคืนมาได้ โดยพระองค์ได้ให้กำลังใจครูและนักเรียนให้หายจากความหวาดกลัว
ตลอดวันนั้นพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างมิทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยได้พระราชทานคำแนะนำยุทธวิธีด้านต่างๆ ทั้งการลาดตระเวน พิสูจน์ทราบ วางกับระเบิด พลุสะดุด สัญญาณเตือนภัยต่างๆ ทรงอธิบายยุทธวิธีปฏิบัติการในพื้นที่ป่าเขา รวมทั้งพระองค์ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่าง
คืนนั้นพระองค์ได้ประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการ โดยเข้าที่บรรทมเวลา 24.00 น. บรรทมในหลุมบุคคล ซึ่งมีความลึกประมาณ 2 ฟุต หลังคามุงด้วยหญ้าคา ในหลุมมีแค่ “ผ้าปันโจ”(ผ้าปูพื้นสำหรับการเดินป่า) สำหรับปูรองพื้น ใช้เป้ทหารหนุนพระเศียร และบรรทมในชุดเครื่องแบบสนามที่ทรงนำไปชุดเดียว โดยไม่มีเสื้อแจ๊กเกตฟิลด์ (เสื้อกันหนาวสีเขียวของทหาร) กันหนาว หรือผ้าห่มแม้แต่ผืนเดียว ทั้งที่คืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาวเย็น
รุ่งเช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน 2519 พระองค์ทรงตื่นบรรทมในเวลา 05.00 น. และมิได้ทรงสรงพระพักตร์ พระองค์ได้เสด็จฯนำแม่ทัพภาคที่ ๓ และคณะไปตรวจการวางกำลัง และทรงควบคุมการกู้กับระเบิดรอบฐาน และทรงมีรับสั่งให้จัดกำลังออกพิสูจน์ทราบเส้นทาง และพื้นที่เนินเขาบริเวณหมู่บ้านอีกครั้ง
จากนั้นได้เรียกนายทหารประจำฐานปฏิบัติการทุกคนมารับฟังคำสั่ง คำชี้แจงวิธีรักษาการป้องกันฐานปฏิบัติการ และการคุ้มครองความปลอดภัยให้กับราษฎร จนได้เวลาอันสมควรจึงประทับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปทรงเยี่ยมทหาร ตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์
การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมหน่วยทหาร ตำรวจ และประชาชน ในพื้นที่การปฏิบัติการของในหลวงรัชกาลที่ 10 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น อย่างหาที่เปรียบมิได้ “วีรกรรม” ของพระองค์ที่บ้านหมากแข้งในครั้งนี้จึงเกิดเป็น “อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง” ที่สร้างขึ้นเพื่อจารึกความกล้าหาญของ “ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ” ในสมรภูมิพระราชา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ..