หลายคนคงจะเคยสังเกตร่างกายของตัวเองอยู่บ่อยๆ แล้วพบว่า มักจะมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ บริเวณขา แขน หรือส่วนอื่นๆ บนร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุของร่องรอยนั้น เพราะบางคนก็ไม่ได้ไปทำกิจกรรมโลดโผนอะไร แต่ทำไมกลับกลายมีรอยช้ำแดงๆ เขียวๆ ขึ้นมาได้
ซึ่งวันนี้ Gang Beauty มีคำตอบมาให้ทุกคนได้หายสงสัย.. ว่ารอยพวกนั้นมาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นสัญญาณเตือนจากภายในร่างกายของเราหรือเปล่า จะเป็นอย่างไรไปหาคำตอบพร้อมๆ กันเลย..
ศ.พญ. อรุณี เจตศรีสุภาพ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์และโลหิตวิทยา ได้ให้คำตอบว่า อาการเลือดออกใต้ผิวหนังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งหลักๆ แล้วสรุปได้ดังนี้
1. ความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดไม่แข็งแรง สาเหตุนี้พบค่อนข้างน้อย และส่วนใหญ่มักถูกกระแทกอย่างแรงแล้วมีเลือดออก
2. ความผิดปกติของเกล็ดเลือด ได้แก่
– จำนวนเกล็ดเลือดต่ำ โดยอาการเลือดออกเนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำมักจะเป็นจุดเลือดออก
– ความผิดปกติของการทำงานของเกล็ดเลือด ซึ่งอาจเกิดจากการกินยาบางตัว เช่น แอสไพริน หรืออาจเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุที่เรียกว่า APDE อาการที่ว่านี้พบได้บ่อยในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยมีอาการเลือดออกใต้ผิวหนังอาจจะเป็นๆ หายๆ นานถึง 2 ปี แต่ในที่สุดก็หายได้
3. ความผิดปกติด้านการแข็งตัวของเลือด สาเหตุอาจเป็นเพราะความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ในผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย ซึ่งจะมีการแข็งตัวของเลือดได้น้อยกว่าปกติ
4. เลือดออกเนื่องจากเนื้อเยื่อในชั้นนอกหลอดเลือดอ่อนแอหรือไม่แน่น เช่น คนแก่ จะมีเลือดออกที่ผิวหนังแล้วจะเห็นเป็นรอยสีม่วงคล้ำหรือสีน้ำตาลได้ชัดเจน
ถ้าพบรอยช้ำตรงบริเวณอื่นที่ไม่ได้ถูกกระแทก หายไปภายใน1-2 สัปดาห์ ก็ถือว่าปกติ และไม่มีอะไรต้องกังวลใจ แต่หากมีจ้ำเลือดเกิดใหม่อีกโดยไม่มีการกระทบกระแทก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจจะเกิดจากสาเหตุที่กล่าวไปข้างต้นทั้ง 4 ข้อก็เป็นได้