เด็กหนุ่มอายุราวๆสัก18น่าจะได้ พาพ่อเดินเข้ามาที่ร้านของผม
ดูเหมือนพ่อของเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะตาบอด เพราะเขาคอยบอกพ่อให้เดินซ้ายเดินขวาและคอยจับเก้าอี้ให้พ่อนั่ง พวกเขาแต่งตัวแบบธรรมดาๆ เด็กหนุ่มยังสะพายกระเป๋าเก่าๆใบหนึ่ง ผมเดาว่าน่าจะมาสอบเข้ามหาลัยแน่ๆ “รับอะไรดีครับ?” ผมตะโกนออกไป “ขอบะหมี่เนื้อสองชามครับ” เด็กหนุ่มตะโกนตอบกลับมาด้วยเสียงอันดัง พอผมจะลงมือลวกเส้น เด็กหนุ่มกลับโบกไม้โบกมือมาทางผม เขายิ้มให้แล้วทำปากขมุบขมิบว่า “บะหมี่เนื้อ1ชาม” พร้อมกับชูนิ้วประกอบ แล้วก็ชี้นิ้วไปที่พ่อของเขา จากนั้นก็ทำปากบอกผมอีกว่า “บะหมี่เปล่า1ชาม” พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ป้ายราคาข้างหลังของผมที่ว่า “บะหมี่เปล่า20บาท” จากนั้นก็ชี้มือไปที่ตัวเอง
ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจเด็กหนุ่มต้องการอะไรกันแน่ แม่ผมก็ตีแขนผมแล้วบอกว่า “เขาสั่งบะหมี่เนื้อให้พ่อ ส่วนเขาเอาบะหมี่เปล่า” ผมเลยถึงบางอ้อ จึงชูนิ้วว่าโอเค เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เมื่อลวกหมี่ทั้งสองชามเสร็จ ผมก็ยกเอาไปเสริฟเด็กหนุ่มด้วยตนเอง “บะหมี่เนื้อสองชามร้อนๆมาแล้วครับ” ผมพูดเสียงดังเพื่อให้คนทั้งสองได้ยิน “ขอบคุณครับเถ้าแก่ บะหมี่ร้านคุณน่ากินมากเลยครับ!” เด็กหนุ่มรับชามบะหมี่เนื้อจากมือของผมแล้ววางไว้ตรงหน้าพ่อของตัวเอง
“ทานให้อร่อยนะครับลุง” ผมเอ่ยขึ้นบ้าง “ขอบใจนะ” เสียงของพ่อเขาเอ่ยขึ้น
ผมเดินเลี่ยงออกมาและก็มองไปที่สองพ่อลูก “พ่อครับ บะหมี่เนื้อน่ากินมากเลย ค่อยๆกินนะครับ ระวังร้อนนะพ่อ”
เขาหยิบตะเกียบกับช้อนใส่มือพ่อ แต่พ่อของเขากลับไม่ได้ตักบะหมี่กินในทันที เขาใช้ตะเกียบคุ้ยๆลงไปในชามบะหมี่เหมือนกับกำลังหาอะไรบางอย่างในชาม พอเจอเนื้อก็เอามืออีกข้างคลำหาชามของลูกชาย จากนั้นก็คีบเนื้อใส่ลงในชามของลูกชาย “กินๆ กินให้เยอะๆนะลูก กินให้อิ่มๆ เจ้าจะได้มีสมาธิสอบ พ่อขอให้เจ้าสอบได้ วันหน้าจะได้ออกมาพัฒนาสังคม ”
เขาเงยหน้าพูดไปพลางยิ้มไปพลาง ทำให้ผมเห็นดวงตาขาวขุ่นที่บอดสนิททั้งสองข้างของเขา ผมสัมผัสได้ถึงความรักความเมตตาที่เขามีต่อลูกชายคนนี้ แม้ดวงตาของเขาจะบอด แต่ผมกลับเห็นถึงความสว่างจากใจของผู้ชายคนนี้อย่างชัดเจน
สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ เด็กหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธเนื้อที่พ่อของเขาคีบใส่ชามให้ เขาได้แต่กล่าวคำขอบคุณพ่อของเขา จากนั้นก็แอบคีบเนื้อเหล่านั้นกลับไปใส่ชามพ่อของเขาอย่างเงียบๆ พ่อคีบให้ลูก ลูกคีบกลับใส่ชามของพ่อ มันเป็นอย่างนี้อยู่พักใหญ่ๆ จนพ่อของเขาเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่ร้านนี้ใจดีจังเลย ให้เนื้อมาตั้งมากมาย ขอให้ขายดีๆนะคุณ” ผมยกมือสาธุรับไปแบบไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ผมใส่เนื้อในชามบะหมี่ไม่กี่ชิ้น “รีบกินเถอะครับพ่อ ชามผมมีแต่เนื้อจนจะมองไม่เห็นเส้นอยู่แล้วครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยทักพ่อของเขา “ดีๆ เจ้ารีบกินเถอะ จะได้รีบกลับไปอ่านหนังสือต่อ”
จู่ๆ แม่ของผมก็ยกจานเนื้อตุ๋นเดินผ่านหน้าผมไป แม่เดินตรงไปที่โต๊ะของเด็กหนุ่มกับพ่อผู้ตาบอด “คุณป้าครับ ผมไม่ได้สั่งครับ จานนี้คงจะเป็นของโต๊ะอื่นครับ” แม่ของผมยิ้มให้แก่เด็กหนุ่ม “เธอไม่ได้สั่งหรอกพ่อหนุ่ม พอดีวันนี้เป็นวันเกิดของร้าน เราจะแถมเนื้อตุ๋นให้กับลูกค้าที่เข้ามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวโต๊ะละจานอยู่แล้ว จ้า จานนี้ป้าไม่คิดตังนะจ๊ะ ” เด็กหนุ่มยิ้มให้กับแม่ผมและยกมือไหว้ขอบคุณ เขาไม่เอ่ยถามอะไรต่อ เขาคีบเอาเนื้อในจานให้พ่อของเขา จากนั้นก็หยิบเอากล่องข้าวในกระเป๋าของตัวเองออกมา แล้วนำเนื้อที่เหลือใส่ลงไปในกล่องข้าวนั้น เราสองแม่ลูกมองดูสองคนพ่อลูกกินบะหมี่จนแล้วเสร็จ จากนั้นก็ใช้สายตาส่งสองคนพ่อลูกนั้นออกจากร้าน “ขอบคุณครับคุณป้า ขอบคุณครับอาเฮีย บะหมี่อร่อยมากๆครับ ขอให้ขายดีๆนะครับ” “วันหลังแวะมากินใหม่นะพ่อหนุ่ม” เสียงของแม่ผมดังขึ้น
ผมเดินไปเก็บชามที่โต๊ะของเขา พอยกจานเนื้อตุ๋นที่แม่ยกไปเสริฟเขาฟรีๆ ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะใต้จานใบนั้น มีเงินจำนวน35บาท ซึ่งเป็นราคาของเนื้อตุ๋นหนึ่งจานพอดี ผมได้แต่ถอนหายใจ ทั้งสงสารและทั้งรู้สึกผิด
แม่บอกกับผมว่า
“วันนี้ สิ่งที่แม่กับแกได้เรียนรู้จากเด็กหนุ่มคนนี้ก็คือ กตัญญู และ ศักดิ์ศรี” ผมได้แต่พยักหน้า “ขอให้นายโชคดี”
ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ