หากเทียบกับพระราชกรณียกิจตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คำว่า “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก” คงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุด นอกจากความอุตสาหะ เพียรพยายามเพื่อให้ราษฎรอยู่ดีกินดี มีความสุข พระองค์ยังทรงมีพระเมตตาอันมากล้นอีกด้วย Gangbeauty ขออนุญาตนำเรื่องเล่านี้ จากพลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร ตำรวจประจำสำนักพระราชวัง ที่ได้ถวายงานใกล้ชิดพระองค์กว่า 1 ปี 11 เดือน มาเล่าสู่กันฟัง
(พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร ตำรวจประจำสำนักพระราชวัง)
คุณวสิษฐ เล่าว่าครั้งหนึ่ง มีชาวนาจ.สิงห์บุรี ได้ยื่นถวายฎีกากับพระหัตถ์ เพราะได้รับความเดือดร้อนจากการนำที่ดินทำกิน ไปจำนองกับนายทุน แต่ขาดส่งดอก ก็เลยโดนยึดที่ไป ในทันทีที่พระองค์ทรงทราบเรื่อง ก็มีรับสั่งให้คุณวสิษฐกับคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง (ในขณะนั้น) ไปสืบดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชาวนารายนี้ และเมื่อไปสอบถาม ลงสำรวจพื้นที่จริงแล้ว ก็กลับมากราบบังคัมทูลฯ รายงานว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ชาวนาผู้นั้นมีที่นาไม่เยอะ แค่พอเลี้ยงครอบครัว แต่ตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงมีรับสั่งถัดมาว่า ให้นำเงินพระราชทานไปให้ชาวนาผู้นั้นไถ่ที่คืน แต่ไม่ได้ให้เปล่า ให้ยืมเฉยๆ ส่วนดอกเบี้ยก็ให้ส่งเป็นข้าวเปลือกที่ปลูกจากนานั้น ไปยังโรงสีข้าวของสวนจิตรลดา
หลังจากนั้นไม่นานนัก วันหนึ่งพระองค์ก็ทรงรับสั่ง เรียกคุณขวัญแก้วเข้าไปพบ แล้วก็รับสั่งว่าชาวนารายนี้มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง มีการส่งดอกตรงเวลาทุกครั้งไม่เคยขาด ให้คุณขวัญแก้วจัดการแจ้งกับชาวนาคนนั้นด้วยว่า เงินที่เหลือยกให้ ไม่ต้องคืนแล้ว
นับเป็นพระเมตตาล้นฟ้าล้นกระหม่อมโดยแท้