แคมเปญรักษ์โลก รวมถึงความอยากประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ทำให้ในหลายบ้านเปลี่ยนจากการใช้หลอดไส้แบบเก่า มาใช้หลอดประหยัดไฟแทน ซึ่งถึงแม้ว่าแสงของมันจะขาวนวล และสวยกว่า ทว่าสำนักสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Environmental Protection Agency: EPA) ก็ได้เผยข้อมูลออกมาแล้วว่าเจ้าหลอดไฟสูตรประหยัดนี้ รักษ์โลก แต่ไม่รักมนุษย์เลยสักนิด ตาม Gangbeauty มาดูเหตุผลสิ!
pixabay.com
1. เพราะภายในของหลอดไฟนี้บรรจุปรอท และสารปรอทนั้นก็เป็นอันตรายต่อระบบประสาทมาก โดยเฉพาะเด็กๆ และสตรีมีครรภ์ นอกจากสมองที่จะโดนทำร้าย ยังส่งผลต่อถึงตับ ไต ทำลายหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจอีกด้วย อีกทั้งยังมีผลไม่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและสืบพันธุ์ โดยอาการที่สามารถสังเกตได้คือร่างกายสั่น รู้สึกวิตกกังวล นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ปวดศีรษะ และในระยะยาวก็อาจก่อมะเร็ง หรือทำให้เรากลายเป็นอัลไซเมอร์ได้ด้วย
pxhere.com
2. สารก่อมะเร็งในหลอดไฟชนิดนี้ นอกจากปรอทแล้ว ก็ยังมีสารประกอบเพิ่มเติมที่สามารถก่อมะเร็งได้อีกหลายอย่าง เช่น ฟีนอล (Phenol), แนปธาลีน (Napthelene) และสไตรีน (Styrene) ซึ่งผลการศึกษานี้ เป็นของปีเตอร์ บรอนด์ จากแล็บทดลองประเทศเยอรมนี ยืนยันผลถึง 95% เลยทีเดียว
www.instructables.com
3. หลอดชนิดนี้ ปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) และกักเก็บรังสียูวีซี (UVC) ซึ่งเราเองก็รู้กันดีอยู่แล้วว่ารังสียูวี เป็นตัวการร้ายต่อการทำลายผิวหนังมนุษย์และดวงตา และการที่หลอดไฟใกล้ตัวเรามีรังสีเหล่านี้มาก ก็จะทำให้ส่งผลกระทบระยะใกล้โดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเนื้อเยื่อผิวหนังของเรา ในส่วนที่ช่วยเสริมสร้างวิตามินดีนั้น ยังจะโดนทำลายไปอีกด้วย
pixabay.com
ถึงแม้ว่าหลอดประหยัดไฟจะมีอันตรายแฝงที่น่ากลัวไม่น้อย แต่เราก็สามารถใช้งานมันได้เหมือนเดิม เพียงแต่อย่าเปิดค้างไว้ตลอดเวลา หรือนานจนเกินไป และถ้าหมดอายุการใช้งานเมื่อไหร่ก็ควรถอดทิ้งในถังขยะสารพิษทันที หรือหากมีกรณีหลอดประหยัดไฟเกิดแตกขึ้นมา ให้รีบเปิดประตูหน้าต่าง แล้วอพยพตัวเองออกจากบ้านสัก 15 นาทีเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับสารพิษจากหลอดประหยัดไฟมากจนเกินไปนั่นเอง
ใช้ได้ แต่ต้องรู้วิธีใช้ และไม่ควรประมาทเด็ดขาด!