ความรักถ้าวางใจไม่ถูกที่ ก็จะเป็นการทำร้ายกัน พ่อ แม่ หลายคนรักลูก แต่กลับทำร้ายจิตใจของลูก ทำให้ลูกไม่มีความสุขทั้งๆ ที่ก็รักและหวังดีต่อลูก – บทความจากพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ
เมื่อลูกอยู่ในวัยศึกษาโดยเฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัย พ่อ แม่ บางคนชี้นำแกมบังคับให้ลูกเลือกเรียนคณะนั้นคณะนี้ เพื่อที่จบออกมาจะได้ทำงานในอาชีพที่พ่อแม่อยากให้ลูกเป็น ทั้งๆ ที่ลูกไม่ชอบสาขาที่พ่อแม่อยากให้เรียน ลูกมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นอย่างที่ลูกปรารถนา แต่ทนแรงเสียดทานของพ่อแม่ไม่ได้ ลูกต้องจำใจเรียนในสาขาที่ลูกไม่ชอบเลย จบมาก็ต้องทำงานในอาชีพที่ตนไม่รัก พ่อแม่ไม่เข้าใจว่าคนที่มีความสุขและความสำเร็จในชีวิตมีอยู่ในทุกๆ อาชีพ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมอ วิศวกร ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ทนายความ
พ่อแม่ไม่รู้หรอกว่า การเอาแต่ใจตนนั้นได้ทำร้ายจิตใจและความสุขของลูกไปมากแค่ไหน พ่อแม่บางคนเมื่อรักลูกมากก็ห่วงลูกมาก ยึดถือเอาความรักความห่วงใย เข้าไปกำกับชีวิตของลูกในเรื่องต่างๆ คอยติดตามแนะนำพร่ำสอนลูกสารพัดเรื่อง แม้ลูกเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว แต่พ่อแม่ (โดยเฉพาะแม่) ก็ยังห่วงใยแนะนำพร่ำสอนลูกราวกับว่าลูกยังเป็นเด็ก ทำให้ลูกอึดอัดมาก รำคาญมาก
ครั้นลูกมีคนรัก พ่อแม่ก็เข้าไปสอดส่องแทบจะเรียกว่าสแกนคนรักของลูกไปเสียทุกอณู หากไม่เป็นที่พอใจของพ่อแม่ก็จะเข้าไปแทรกแซงขัดขวาง พยายามที่จะให้ลูกเปลี่ยนคนรักใหม่
ทำราวกับว่าพ่อแม่จะเลือกคนรักของตนเอง
พ่อแม่คงลืมไปแล้วว่าสมัยที่ตนเป็นหนุ่มสาวได้เลือกคนรักของตนอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วคนหนุ่มสาวจะเลือกคู่รักจากคนที่สัมพันธ์กันแล้วถูกใจกัน เมื่ออยู่ใกล้ชิดแล้วเกิดความอบอุ่น มีทัศนะใกล้เคียงกันพูดคุยกันรู้เรื่อง คอยห่วงใยเอื้ออาทรต่อกัน รับฟังความเห็นเป็นเพื่อนปรับทุกข์กันได้
กล่าวโดยสรุป คนหนุ่มสาวจะเลือกคนรักโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อกันเป็นหลัก
หากพ่อแม่เข้ามาแทรกแซงการเลือกคู่ครองของลูก ก่อนอื่นก็จะดูว่าคนรักของลูกมีความประพฤติอย่างไร หากลูกสาวตนจะเลือกหนุ่มมาเป็นคู่ครองก็จะดูฐานะ การศึกษา อาชีพการงานของหนุ่มคนนั้นว่ามีความมั่นคงพอที่จะเลี้ยงดูลูกของตนได้หรือไม่ ยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นคนมีสกุลรุนชาติหรือมีฐานะความเป็นอยู่ดี ก็จะดูไปถึงเทือกเถาเหล่ากอและฐานะทางบ้านของหนุ่มคนนั้น ราวกับว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องวัดความสุขความสำเร็จในชีวิตครอบครัว
การที่พ่อแม่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของลูกมากเกินไปนี่เอง สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับลูก พ่อแม่ไม่รู้หรอกว่าการมีชีวิตคู่ครองนั้นเป็นเรื่องของกรรมที่สองฝ่ายได้สร้างเอาไว้ ทั้งที่ได้มีกรรมสัมพันธ์กันแต่อดีตชาติและชาติปัจจุบัน ใครจะไปบังคับหรือลิขิตชีวิตของใครได้ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง
พ่อแม่บางคนคิดตามประสาชาวโลกว่า เมื่อลูกของตนเรียนจบทำงานทำการแล้ว ก็ควรจะแต่งงานมีคู่ครองเป็นหลักเป็นฐาน พ่อแม่จะได้หมดห่วง
คนหนุ่มสาวบางคนกลับคิดว่า การมีคู่ครองซึ่งต่อมาก็ต้องมีลูกเป็นความทุกข์ของชีวิต เขาได้เห็นชีวิตครอบครัวทั้งของที่บ้าน ญาติพี่น้อง และครอบครัวอื่นๆ เต็มไปด้วยปัญหา มากด้วยความทุกข์ จึงไม่อยากจะใช้ชีวิตครอบครัว เพราะลำพังการเลี้ยงดูรับผิดชอบต่อตนเองก็เป็นภาระหนักอยู่แล้ว จึงไม่คิดที่จะแบกรับชีวิตผู้อื่นมาเป็นภาระอีก มีบางคนไม่คิดอยากจะมีคู่ครอง อยากใช้ชีวิตของตนอย่างมีอิสระ หลายคนมุ่งปฏิบัติธรรม
เมื่อลูกไม่แต่งงานพ่อแม่ก็เป็นห่วง ถึงกับปรารภกับลูกว่าเมื่อไรจะแต่งงานสักที หากลูกบอกว่ายังไม่มีคนที่ถูกใจ คราวนี้พ่อแม่ก็ลงมือเป็นแม่สื่อให้ บางคนถึงกับนัดบอดหาคนที่เหมาะสมมาดูตัวลูก
พฤติกรรมเช่นนี้หากลูกเป็นฝ่ายหญิงก็จะรู้สึกอาย บางรายถึงกับคิดว่าตนเป็นสินค้าหรืออย่างไรที่พ่อแม่จะต้องเรียกคนมาดูมาซื้อหา ผู้ที่มีปัญหาทำนองนี้เคยขอให้ผู้เขียนช่วยพูดกับแม่เขาด้วยว่า เขาต้องการอยู่เป็นโสด ไม่ต้องการชีวิตครอบครัว ชีวิตโสดทำให้เขามีความสุขดี ช่วยบอกให้แม่เข้าใจเขาด้วยและเลิกห่วงเขาเสียที
บางคู่ที่แต่งงานกันแล้วไม่ประสงค์ที่จะมีลูก เพราะไม่ต้องการสร้างทุกข์ให้กับผู้ที่จะมาเกิดกับตนเอง จึงตกลงกันที่จะไม่มีลูกเพื่อให้มีความคล่องตัวในการใช้ชีวิตและมีเวลาที่จะบำเพ็ญภาวนาในทางธรรมมากขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ คอยรบเร้าอยู่เนืองๆ ว่าเมื่อไรจะมีเจ้าตัวเล็กๆ มาให้พ่อแม่ได้ชื่นใจบ้าง ครั้นลูกจะบอกกับพ่อแม่ตรงๆ ก็เกรงว่าพ่อแม่จะไม่เข้าใจหรือยอมรับไม่ได้ จึงได้แต่บ่ายเบี่ยงไป
มีบางคนที่ต้องการสร้างบารมีทางธรรมด้วยการออกบวช หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาและทำงานได้สักระยะหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจบวชชีทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี การตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวของเธอ ทำให้พ่อแม่พี่น้องถึงกับช็อก ต่างไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงต้องบวชด้วย อกหักหรือ ผิดหวังในชีวิตหรือ มีใครทำอะไรให้ไม่พอใจหรือ ช่วยบอกหน่อย หากมีปัญหากับคนในบ้าน พ่อแม่ยินดีจะแก้ไขให้ จะจัดการให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวอย่าได้บวชเลย
มิไยที่เธอจะบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ อย่างที่พ่อแม่คิด ที่เธอต้องการบวชเพราะมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา เธอไม่ได้ใช้คำว่าต้องการทำพระนิพพานให้แจ้ง เพราะสูงเกินที่ทางบ้านจะเข้าใจได้ ทั้งๆ ที่เธอปรารถนาเช่นนั้น เมื่อบวชแล้วเธอก็บำเพ็ญภาวนาอย่างน่าสรรเสริญ เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ธรรมให้กับสำนักที่เธอสังกัดอยู่
คราวนี้เป็นฝ่ายชายบ้าง ชายหนุ่มจบการศึกษาแล้วทำงานได้ 3 ปีก็ตัดสินใจบวชที่ชนบทห่างไกลจากความเจริญ เพราะเขาใฝ่ในธรรมตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ พ่อแม่เห็นลูกบวชครั้งแรกก็ดีใจ คิดว่าออกพรรษาแล้วลูกคงจะสึก ผ่านไป 3 ปี ลูกก็ยังไม่สึก ผู้เป็นแม่ทุกข์ใจมาก คิดตามประสาชาวโลกว่า ลูกอุตส่าห์เรียนจบปริญญามา ควรจะใช้ชีวิตและมีความสำเร็จเช่นเดียวกับชาวโลก นั่นคือทำงาน มีชีวิตครอบครัว มีลูกสืบสกุล การที่ลูกมาบวชเช่นนี้ทำให้สูญเสียโอกาส เสียอนาคต
แม่ไปรบเร้าให้พระลูกชายสึกอยู่เนืองๆ จนพระลูกชายยอมสึกตามที่แม่ร้องขอ กลับมาทำงานได้อีก 3 ปี เห็นว่าชีวิตทางโลกไม่ใช่จุดหมายในชีวิตของตน จึงลาออกจากงาน บวชอีกครั้ง ผู้เขียนก็ได้แต่เอาใจช่วยพระว่า ขออย่าให้มารดาของท่านมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการสร้างบารมีของท่านอีกเลย
ความรักของพ่อแม่ในกรณีต่างๆ ที่กล่าวมานี้เป็นความรักที่เอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้ง หรือเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว มิได้เห็นแก่ความสุขของลูก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นความรักที่ทำร้ายคนที่ตนรัก…