โดยส่วนใหญ่แล้วทุกคนล้วนเกลียดการโกหกอย่างแน่นอน แต่บางครั้งการโกหกสำหรับบางคนในบางเรื่อง..กลับมีเหตุผลที่น่าให้อภัย(ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนะ) และเราไม่ได้หมายความว่าอยากให้คุณหันมาเริ่มพูดโกหกใส่กันหรอกนะ เพียงแต่หากถึงสถานการณ์จำเป็นจริงๆ แม้การโกหกจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่การเลี่ยงพูดความจริงนั้นถือเป็นสิ่งที่ควรจะทำเหมือนกัน ซึ่งบางครั้งมันก็ช่วยรักษาความสัมพันธ์คุณและอีกฝ่าย ในครั้งนี้เราจึงพาไปเช็ก! 5 สถานการณ์ควรโกหก ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. ไม่ได้สนิทพอให้พูดความจริงหนิ
มันไม่จำเป็นหรอกนะที่คุณจะเล่าชีวิตส่วนตัวของคุณให้คนที่ไม่สนิทฟัง เพราะมันเป็นเรื่องของคุณไง เอาน่าอะไรที่คุณไม่ต้องการตอบไม่อยากให้เขารู้เพราะอยากเก็บเป็นเรื่องส่วนตัว ก็สามารถเบี่ยงเบนการตอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกถามเหตุผลที่คุณแฟนตัวดีมักมารับคุณช้า หรือว่างานเสริมที่คุณรับจ็อบมาทำในปัจจุบันมันคืองานอะไร? ไม่อยากตอบก็เลี่ยงได้ค่ะ หากคุณไม่อยากให้ใครละลาบละล้วง อาจจะเป็นเพราะคุณพอรู้มาว่าคนที่กำลังถามคุณอยู่นั้นเป็นคนที่ช่างเมาท์สุดๆ หรือไม่ต้องการให้เขามาวุ่นวายเรื่องไหน คุณก็ไม่ต้องบอกความจริงก็ได้
2. สถานการณ์นี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย
เป็นการโกหกที่น่ารักมากค่ะ ความจริงแล้วประเด็นคือคุณอยากให้คนที่ถามคุณมั่นใจในตัวเอง ยกตัวอย่าง ว่าอาจจะเป็นเพื่อนสนิทของคุณก็ได้ หากเธอขอความเห็นเกี่ยวกับผมทรงใหม่ หรือสีผมสุดจี๊ด!!ที่คนอื่นมองแล้วอดหัวเราะไม่ได้ในความแปลกและแตกต่าง แต่คุณก็เลือกโกหกว่าผมทรงใหม่ของเพื่อนนั้นโออยู่นะ ก็เอาเป็นว่าการโกหกในสถานการณ์แบบนี้มันเป็นเพราะไม่อยากให้เพื่อนนอยด์หรือหาอะไรมาคลุมหัวทั้งวัน ควรพูดความจริงหรอ? ในเมื่อบอกความจริงตอนนี้ก็แก้ไขไม่ได้อยู่ดี เลี่ยงไปก่อนเพื่อนจะได้ไม่รู้สึกเคว้งไงล่ะ ซึ่งถ้าหลังจากวันนั้นคุณอาจลองชวนเพื่อนไปทำสีผมใหม่ดูก็ได้ค่ะ แต่ต้องบอกว่าสีนี้เดิมก็โอแต่ถ้าทำสีนี้สวยกว่าและเข้ากับเพื่อนมากกว่าแบบนี้ก็ได้
3. ยอมโกหก!ในเรื่องที่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาบอก
อย่างที่เกริ่นไว้ว่าบางทีต้องดูสถานการณ์หน่อยนะ ไม่ใช่ว่าเห็นอีกฝ่ายกำลังมีความสุขหัวเราะชอบใจ คุณจะเข้าไปบอกเล่าเรื่องร้ายๆ ประเด็นลบๆ ในตอนนั้นเลยมันก็ไม่ใช่ไง! ยกตัวอย่าง เช่น เป็นตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะไปทำธุระอะไรที่สำคัญมากๆ ถ้าอยากให้ทุกอย่างราบรื่นและส่งผลดี ต่อตัวเขาและดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณด้วย ก็อย่าเพิ่งพูดความจริงที่รู้มาเลยแม้เขาจะเอ่ยถามคุณแล้วก็ตาม ลำบากใจแต่ให้คุณแกล้งเออออห่อหมกไปก่อนดีกว่า เมื่อทุกอย่างผ่อนคลายลงก็ค่อยๆ ใส่รายละเอียดลงไป อันนี้ก็แล้วแต่คุณเลยนะว่าจะบอกเวลาไหนตอนไหนที่คิดว่าอีกฝ่ายควรรับรู้ได้แล้วอะ
4. และแล้วก็มาถึงเวลาวิจารณ์ผลงาน”ยอดแย่”แล้วล่ะ
เชื่อเถอะว่าบางครั้งคุณไม่สามารถพูดความจริงได้เสมอไป ยิ่งสถานการณ์ในที่ทำงานด้วยแล้ว การพูดตรงและจริงจนเกินไปจะถูกมองว่าไม่เป็นคนที่ไม่แคร์ความรู้สึกใคร และอาจถูกเขม่นได้ง่ายเชื่อสิ! ดังนั้นพยายามอย่าวิจารณ์ตรงจนเกินไป อย่างในสถานการณ์คับขัน ที่คุณต้องแสดงความคิดเห็นผลงานของอีกฝ่าย แม้งานชิ้นนั้นจะดูห่วย!ในความรู้สึกคุณมากแค่ไหน แต่คำตอบจะต้องไม่เป็นอย่างหัวคุณคิดค่ะ เมื่อมาถึงตาคุณวิจารณ์ซึ่งคนอื่นๆ เค้ายำอีกฝ่ายจนเละ!ไม่มีชิ้นดี ให้คุณเลี่ยงคำเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นการกล่าวถึงผลงานดีๆ ชิ้นนี้ขึ้นมาแทน(อาจจะยากหน่อย) หรือคุณอาจจะใช้คำชื่นชมในความตั้งใจงานของอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยตบท้ายในสิ่งที่น่าจะแก้ไข วิธีนี้เบสิคมากหลายคนมักนำมาใช้กันแต่ได้ผลดีต่อความสัมพันธ์ค่ะ
5. โกหกเพื่อให้ตัวเองกล้ามากขึ้น
สุดท้ายคุณควรโกหกตัวเองบ้างในสถานการณ์ช่วงชีวิตที่คุณกำลังย่ำแย่! ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับคนอื่นๆ ที่เค้ารู้ก็จริงอยู่นะ แต่คุณจะไปใส่ใจทำไม? คุณกำลังทำเพื่อปกป้องความรู้สึกตัวเองไงคะ ผิดตรงไหน?!ในเมื่อคุณกำลังสร้างความกล้าให้กับตัวเอง? คนเราจะมีวิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง อยู่ที่ว่าใครมีวิธียังไง ซึ่งการหลอกว่าตัวเองเก่ง หรือตัวเองทำได้แน่นอน เป็นการโกหกที่สร้างความหวังและสร้างกำลังใจในสถานการณ์คับขันได้ค่อนข้างดี และนั่นคือการโกหกตัวเองที่คุณควรทำเพราะมันช่วยให้คุณมีกำลังใจและกล้ามากขึ้น
เห็นหรือเปล่าคะ การพูดความจริงนั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้เสมอไปหรอก? แต่สถานการณ์เหล่านี้ควรใช้ในยามจำเป็นเท่านั้นนะ และอย่าทำบ่อยจนติดเป็นนิสัย